บลจ.เมย์แบงก์ ตั้งเป้าดัน AUM แตะ 2 หมื่นลบ.ใน 5 ปี ลุยออก ETF กระจายลงทุนทั่วโลก

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 6, 2014 10:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายนอร์ อัสซามีน บิน ซาเลห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม บลจ.เมย์แบงก์ เปิดเผยว่า กลุ่ม บลจ.เมย์แบงก์ ในมาเลเซีย ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 60 ล้านบาทให้ บลจ.เมย์แบงก์(ประเทศไทย) ส่งผลให้ทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็น 270 ล้านบาท เพื่อนำไปขยายธุรกิจกองทุนในประเทศไทยไปสู่เป้าหมายมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ(AUM) เพิ่มแตะ 2 หมื่นล้านบาทภายใน 5 ปี
"ธุรกิจกองทุนรวมในประเทศไทยยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก จากเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ยังมีอัตราการเติบโตอยู่ นักลงทุนยังหาโอกาสททางเลือกการลงทุนใหม่ๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนในระดับที่น่าพึงพอใจ ทำให้ตลาดกองทุนรวมในประเทศไทยยังมีทิศทางที่สดใส อย่างไรก็ตาม บลจ.แต่ละแห่งจำเป็นที่จะต้องออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆที่มีความน่าสนใจ และสอดคล้องกับความต้องการลงทุนของนักลงทุนให้ได้"นายนอร์ กล่าว

บลจ. เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) มองโอกาสการลงทุนในตราสารหนี้หรือตราสารการเงินในต่างประเทศเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมและกระจายความเสี่ยงเพื่อเพิ่มโอกาสของผลตอบแทนที่มั่นคงกว่าให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน ประกอบกับผู้จัดการกองทุนของบริษัทมีความเชี่ยวชาญในการลงทุนต่างประเทศ และการเป็นบริษัทในเครือเมย์แบงก์มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับสูง รวมทั้งความแข็งแกร่งของเครือข่ายเจ้าหน้าที่การตลาดของ บล.เมย์แบง์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จะมีส่วนสำคัญในการขยายฐานลูกค้าในไทย

ด้านนายตรีพล ภูมิวสนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บริษัทจะนำเงินเพิ่มทุนครั้งนี้ไปใช้ขยายกิจการ ขยายฐานลูกค้า เสริมศักยภาพในการบริหารจัดการ และพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายภายในปี 58 จะออกกองทุนใหม่อีกประมาณ 19-20 กองทุน

"บริษัทมีแผนจะขยายฐานลูกค้ารายย่อยเพิมเติมผ่านทางผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุน (Selling Agent) ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 7 แห่ง โดยตั้งเป้าจะเพิ่มผู้สนับสนุนการขายฯอีกประมาณ 7-8 แห่ง รวมทั้งออกผลิตภัณฑ์กองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก โดยมีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารอยู่ในระดับสูง น่าจะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ารายย่อย"นายตรีพล กล่าว

ทั้งนี้ ในช่วงที่เหลือของปีนี้มีแผนจะเสนอขายกองทุนจำนวน 6 กองทุน แบ่งเป็นกองทุนตลาดเงิน 1 กอง กองทุนหุ้น 1 กอง และกองทุนอีทีเอฟ (ETF) 4 กอง ซึ่งกองทุนอีทีเอฟของบริษัทจะมีจุดเด่น คือ เปิดโอกาสให้นักลงทุนกระจายการลงทุนในต่างประเทศผ่าน 4 ตลาดสำคัญๆ ได้แก่ ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐฯ เบื้องต้นคาดว่าจะเสนอขายกองทุนอีทีเอฟ ทั้ง 4 กองประมาณปลายเดือน พ.ย.57

"เราต้องการเสนอทางเลือกการลงทุนให้กับนักลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสการลงทุนใสตลาดต่างประเทศ ผมมองว่าตลาดต่างประเทศเป็นตลาดที่ใหญ่ สภาพคล่องสูงกว่าตลาดหุ้นไทย และบริษัทหลายแห่งมีศักยภาพในการทำกำไรสูง น่าจะเป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่ดีให้นักลงทุนไทยได้"นายตรีพล กล่าว

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในต่างประเทศมองว่าตลาดเกิดใหม่ยังเป็นตลาดที่น่าสนใจลงทุน เนื่องจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาหุ้นในตลาดเกิดใหม่ปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาดพัฒนาแล้ว เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯหรือยุโรป ดังนั้น ปีนี้จึงเห็นเงินทุนไหลเข้าตลาดเกิดใหม่เป็นจำนวนมาก ล่าสุดมีเงินทุนไหลเข้าในเดือนที่ผ่านมามากกว่า 4.7 หมื่นล้านบาท โดยมองว่าประเทศในตลาดเกิดใหม่ที่น่าสนใจลงทุน ได้แก่ ไต้หวันและเกาหลีใต้ เพราะถ้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัวจริง ทั้งสองประเทศน่าจะได้รับประโยชน์

ส่วนมาตรการผ่อยคลายเชิงปริมาณ(Quantitative Easing)ที่จะสิ้นสุดในเดือน ต.ค.นี้ ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องในระบบ โดยเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)จะยังไม่เริ่มถอนเงินออกจากระบบ ด้านแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนกลางปี 58 แนะนำให้ติดตามตัวเลขการปล่อยสินเชื่อของสหรัฐฯ หากเริ่มมีสัญญาณบวกติดต่อกัน 2-3 เดือนเชื่อว่าเฟดจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นแน่นอน

นายตรีพล กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาแล้ว และทิศทางตลาดขึ้นกับการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะเป็นไปตามแผนหรือไม่ หากไม่เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ดัชนีฯอาจปรับฐานได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ