"เรามั่นใจว่าจะเข้าเทรดได้ในช่วงเดือน พ.ย.แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องขึ้นอยู่กับทาง ก.ล.ต. ด้วยว่าจะอนุมัติเร็วหรือช้าแค่ไหน เราคาดว่าจะสามารถกำหนดราคาหุ้น IPO ของบริษัทได้ในช่วงปลายเดือนนี้ถึงต้นเดือนหน้า ปัจจุบันเราก็อยู่ระหว่างการทำบุ๊ book built"นายวิบูลย์ กล่าว
นายวิบูลย์ กล่าวอีกว่า บริษัทมั่นใจรายได้ในปีนี้จะเติบโตกว่าปีก่อนที่มีรายได้รวม 326 ล้านบาท แม้ว่าครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้ 143 ล้านบาทต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 2.5% แต่เชื่อว่าช่วงครึ่งปีหลังรายได้จะเติบโตมากขึ้นเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น และรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กลับมาเที่ยวเมืองไทย ขณะที่ช่วงครึ่งปีหลังเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจท่องเที่ยว
นอกจากนั้น บริษัทได้เปิดสาขาใหม่ไปแล้ว 2 สาขาในปีนี้ คือ ภูเก็ต และสยามแสควร์วัน ซึ่งจะรับรู้รายได้เข้ามาเต็มที่ในครึ่งปีหลัง และในเดือ นพ.ย. จะมีการเปิดสาขาใหม่ในกรุงเทพฯ อีก 1 แห่งย่านเพลินจิต
สำหรับกำไรสุทธิปีนี้คาดว่าจะลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 55 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกบริษัทมีกำไรสุทธิเพียง 6 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลังเชื่อว่ากำไรสุทธิจะมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 25 ล้านบาท
"ในช่วงครึ่งปีแรกรายได้เราลดลงเพียง 2.5% แต่กำไรเราลดลงค่อนข้างมาก เนื่องจากสาขาใหม่ๆที่เปิดนั้นยังไม่มีรายได้เข้ามา เพราะผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองน แต่หลังการเมืองคลี่คลายรายได้ของสาขาเดิมๆก็จะกลับมาเติบโต และสาขาใหม่ก็ทำมีรายได้เข้ามาด้วย ทำให้ครึ่งปีหลังรายได้กลับมาดี และกำไรก็จะมากกว่าครึ่งปีแรก และมากกว่าเมือเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงเชื่อว่ากำไรเราจะลดลงไม่มาก"นายวิบูลย์ กล่าว
นายวิบูลย์ กล่าวอีกว่า ในปี 58 บริษัทฯจะมีการขยายสาขาอย่างน้อย 3 สาขา และอาจจะมีการขยายสาขาไปยังต่างประเทศกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)ด้วย แต่ยังต้องรอดูกฎเกณฑ์ของการเคลื่อนย้ายประชากรก่อนจะศึกษาอีกครั้ง และบริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการรับจ้างบริหารธุรกิจสปาทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยปัจจุบันมีเจ้าของธุรกิจสปาติดต่อให้บริษัทเข้าไปบริหารแล้ว แต่ยังไม่ได้ตกลง เพราะต้องการศึกษาความคุ้มค่าและผลตอบแทนให้รอบคอบก่อน ขณะเดียวกันก็ยังจะเน้นการขยายสาขาของบริษัทเองก่อน