NCL ประกอบธุรกิจให้บริการจัดการระบบโลจิสติกส์ แบบครบวงจร ตั้งแต่การวางแผนและจัดการในการเคลื่อนย้ายสินค้า การดำเนินการด้านพิธีการศุลกากร การจัดการด้านสินค้าคงคลัง ทั้งนี้มีบริการขนส่งสินค้าทั้งในประเทศที่ครอบคลุมทั่วทุกภาค และขนส่งในต่างประเทศครอบคลุมกว่า 180 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 105 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 420 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท และมีทุนเรียกชำระแล้ว 81.25 ล้านบาท หุ้นสามัญจำนวน 325 ล้านหุ้น จะเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัทต่อประชาชนทั่วไปในครั้งนี้ รวมจำนวนทั้งสิ้น 95 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท หรือคิดเป็น 22.62% ของทุนจดทะเบียนของบริษัท
นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวเพิ่มเติมว่า NCL เป็นบริษัทที่มีความโดดเด่นด้านโลจิสติกส์ครบวงจร ทำงานแบบโปรเฟสชั่นแนลได้รับการยอมรับในในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนั้นมีความโดดเด่นในเรื่องของผลประกอบการที่ขยายตัวอย่างมากในช่วง ปี 54-56 โดยรายได้รวมของบริษัทมีอัตราการเติบโตสูงถึงประมาณร้อยละ 80 และคาดว่าจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะ NCL มีแผนการขยายธุรกิจขนส่งภายในประเทศด้วยรถบรรทุกหัวลากและหางลาก โดยในปี 58 มีแผนที่จะเปิดจุดบริการรับส่งสินเค้าเพิ่มอีก 2 คือที่จังหวัดสงขลา และจังหวัดอุดรธานี เพื่อรองรับการเติบโตของกลุ่มลูกค้าเดิม และเตรียมความพร้อมสำหรับการรวมตัวกันของกลุ่มประเทศอาเซียนเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จากการเติบโตของรายได้ที่มีอย่างต่อเนื่อง จึงน่าจะเป็นจุดเด่นที่ทำให้นักลงทุนสนใจ และได้รับการตอบรับที่ดี
นายกิตติ พัวถาวรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NCL กล่าวว่า การเดินทางไปโรดโชว์จะนำเสนอข้อมูลของบริษัทให้กับนักลงทุน เพื่อให้เกิดความเข้าใจในลักษณะการประกอบธุรกิจ โดยมีความมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เพราะการเติบโตที่ต่อเนื่องของ NCL ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะประสบการณ์การทำงานที่มีมานานกว่า 18 ปีด้านโลจิสติกส์ และมีความเชี่ยวชาญทุกเส้นทางการค้าหลักของโลก มีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายและเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมองหากลุ่มลูกค้ารายใหม่ๆ เพิ่มด้วยบริการที่ครบวงจร ทำให้สามารถมายืนในจุดที่ได้รับการยอมรับอย่างเช่นวันนี้ได้
“สำหรับการตัดสินใจระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ครั้งนี้ NCL จะ นำเงินไปลงทุนซื้อรถบรรทุกหัวลาก-หางลากเพิ่มประมาณ 50-80 คัน ส่วนที่เหลือจะนำไปชำระคืนหนี้สถาบันการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยมีเป้ หมายที่จะพัฒนาและขยายธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่องไปในอนาคตได้อย่างยั่งยืน รวมถึงสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้กับผู้ถือหุ้น และผมเชื่อว่า NCL ถือเป็นอีกหนึ่งของความภาคภูมิใจของคนไทยว่าธุรกิจนี้เราก็ทำได้"นายกิตติ กล่าว