นอกจากนั้น ราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทยปัจจุบันยังถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงจากความคาดหวังของนักลงทุนต่างๆหลังเหตุการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยกลับสู่สภาวะปกติ แม้ว่าสภาพคล่องในระบบยังมีปัญหา และปัจจัยเศรษฐกิจในสหรัฐฯที่ยังไม่แน่นอนเกี่ยวกับการยกเลิกมาตรการ QE และการปรับเพิ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ แต่ตลาดหุ้นไทยก็ยังมีการซื้อ-ขายกันในมูลค่าที่สูง และทำให้ตลาดหุ้นไทยในปีนี้เป็นจลาดหุ้นที่ outperform เป็นอันดับที่ 4 ในเอเชีย
อย่างไรก็ตาม การที่ค่า P/E ของตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในระดับที่สูงและยังมีความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศที่ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้นั้นอาจส่งผลต่อความสนใจการซื้อสะสมของนักลงทุนต่างชาติในปีหน้า โดยคาดว่าการเข้าซื้อสะสมจะลดลงเหลือ 33% จาก 38% ในปีนี้ และ SET Index ที่ 1,550 จุดนั้นนักลงทุนต่างชาติยังไม่มั่นใจว่าจะเป็นระดับที่เหมาะสมหรือไม่ ประกอบกับนักลงทุนต่างคาดการณ์ว่าสหรัฐจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า ซึ่งจะส่งผลให้เงินทุนไหลออกไปค่อนข้างมาก
สำหรับกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี 58 ประเมินว่าจะเติบโต 15% จากปีนี้ที่เติบโต 6% ปรับลดลงจากประมาณการเดิมที่คาดว่าเติบโตที่ 10% ในปี 57 โดยปัจจัยที่ต้องติดตามในปีหน้า คื อัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้นคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)จะปรับเพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับต่างประเทศหรือไม่ เพราะปัจจุบันอัตรายังอยู่ในระดับที่ต่ำ หากมีการปรับขึ้นก็จะส่งผลดีต่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์ แต่ส่งผลเสียต่อกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ ยังต้องติดตามการอัดฉีดเงินของทางธนาคารกลางยุโรป(ECB)ด้วย
นายกิตติชาญ กล่าวอีกว่า อีกปัจจัยที่สำคัญในปีหน้าคือการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ และการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากระดับ 7% ที่จะสิ้นสุดระยะเวลาปลายปี 58 เนื่องจากกระทรวงการคลังได้คาดการณ์ว่าถ้าปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกๆ 1 % จะทำให้กระทรวงการคลังมีรายได้เพิ่มขึ้นราว 1 หมื่นล้านบาท แต่ทั้งนี้กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้น VAT เป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีก