“หุ้นกู้ที่ฮ่องกงตอนนี้เราอยู่ระกว่างการศึกษา ก็มีโอกาสออกได้ปีหน้า แต่ช่วงไหนนั้นขึ้นอยู่กับทิศทางตลาดเงินและอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม ส่วนมูลค่าที่จะออกนั้นก็ยังดูๆกันอยู่ยังม่แน่ใจว่าต้องการเท่าไหร่ ในเรื่องจุดประสงค์การออกหุ้นกู้เพื่อนำเงินที่ได้ไปรองรับการซื้อเหมืองใหม่ของบริษัทและไปใช้ชำระหนี้เพื่อให้หนี้เราต่ำลง หุ้นกูที่ฮ่องกงก็จะขายนักลงทุนต่างชาติ ตอนนี้เราก็เดินสายโรดโชว์ที่ฮ่องกงและสิงคโปร์เพื่อแนะนำบริษัทเราให้นักลงทุนต่างชาติรู้จัก และแสดง Vision ของเราให้เขาได้รับรู้ด้วย"นายขจรพงศ์ กล่าว
สำหรับออก TDR ในตลาดหุ้นไต้หวั่นนั้น เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถเข้าทำการซื้อขายได้ในช่วงปี 58 หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจากทุนจดทะเบียนเดิม 4.43 พันล้านบาท เป็น 4.63 พันล้านบาท โดยการออกหุ้นใหม่จำนวน 200 ล้านหุ้น พาร์ 1 บาท เพื่อเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปในไต้หวัน (TDR) โดยราคาขายต่อหุ้นมาจาก Book Building และไม่ต่ำกว่า 6.37 บาท
ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของการเพิ่มทุนครั้งนี้เพื่อใช้ในการซื้อเหมืองและลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของเหมือง รวมทั้งชำระหนี้สถาบันการเงินสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัท
"หลังจากบอร์ดมีมติเพิ่มทุนแล้ว บริษัทจะต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 14 พฤศจิการยนนี้ จากนั้นจะยื่นไฟลิ่งต่อก.ล.ต.ของไทย และเมื่อได้รับอนุญาตจากก.ล.ต.ไทยแล้ว ก็จะยื่นไฟลิ่งต่อก.ล.ต.ที่ไต้หวัน คาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนได้ในปีหน้า" นายขจรพงศ์ กล่าว
นายขจรพงศ์ กล่าวอีกว่า การซื้อเหมืองแห่งที่ 2 ในประเทศอินโดนีเซีย ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบปริมาณสำรองถ่านหินของบริษัทพันธมิตร โดยคาดว่าจะสรุปผลได้ภายในสิ้นปีนี้ และน่าจะดำเนินการแลกหุ้นกับพันธมิตรได้ในช่วงต้นปี 58 หลังจากเสร็จสิ้นการแลกหุ้นแล้วจะทำให้บริษัทมีเหมืองถ่านหินทั้งสิ้น 2 เหมืองในอินโดนีเซีย
“เหมืองแห่งที่ 2 ในอินโดคาดว่าทาง Third Party สำรวจปริมาณสำรองถ่านหินเสร็จภายในสิ้นปีนี้ และเราก็อยากให้เหมืองแห่งนี้เป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งคาดว่าต้นปีหน้าเราก็จะมีการแลกหุ้นกับพันธมิตร ซึ่งเป็นเหมืองแห่งที่ 2 ในประเทศอินโดของบริษัท"นายขจรพงศ์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทมีการวางแผนการเพิ่มเหมืองภายใน 5 ปี (56-60) จะมีเหมืองทั้งหมด 5 แห่ง ซึ่งเหมืองแห่งที่ 3-5 อยู่ระหว่างการศึกษาหาทำเล โดยเฉพาะในอินโดนีเซียที่มีเหมืองค่อนข้างมาก การเพิ่มเหมืองของบริษัทเพื่อเป็นการรองรับตลาดหลักที่บริษัทมีการส่งออกไปใน 4 ประเทศ คือ ไทย อินเดีย จีน และเกาหลีใต้ และบริษัทจะเริ่มเปิดตลาดส่งออกไปไต้หวันเป็นตลาดต่อไป
ส่วนปริมาณการขายถ่านหินของบริษัทได้วางแผนภายใน 5 ปีข้างหน้า ตั้งเป้าปริมาณการขายเพิ่มขึ้นปีละ 1 ล้านตัน จากการเพิ่มจำนวนเหมืองเพื่อเพิ่มปริมาณสำรองถ่านหินและการขยายตลาดส่งออกอย่างต่อเนื่อง โดยในนี้บริษัทตั้งเป้าปริมาณการขายถ่านหินอยู่ที่ 9 ล้านตัน และจะมีรายได้ในปีนี้อยู่ราว 1.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 1.35 หมื่นล้าน ปริมาณการขาย 8 ล้านตัน
อย่างไรก็ตาม รายได้ของบริษัทจะแปรผันตามราคาขายถ่านหินในตลาดโลก โดยประเมินว่าภาพรวมราคาถ่านหินในตลาดโลกปีนี้จะทรงตัวอยู่ที่ 65 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน และจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 65-68 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตันในปี 58
"ราคาถ่านหินในตลาดโลกนั้นได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และแนวโน้ราคาถ่านหินในตลาดโลกก็จะปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากดีมานด์ในตลาดโลก โดยเฉพาะในอินเดียที่เหมืองในอินเดียศาลตัดสินไม่ให้ต่อใบอนุญาต ทำให้ซัพพลายด์ในอินเดียหายไป และดีมานด์ในอินเดียก็จะเข้ามาหาในอินโดมากขึ้น ส่งผลทำให้ราคาถ่านหินปรับตัวขึ้น บริษัทก็จะได้รับผลดีตามไปด้วย แต่จริงๆแล้วดีมานด์ก็เท่าเดิม แต่ซัพพลายด์ในอินเดียนั้นหายไป มันก็ส่งผลต่อการปรับราคาถ่านหินขึ้น"นายขจรพงศ์ กล่าว