สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA)สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย ( 10 ต.ค. 57) มีมูลค่าการซื้อขายรวม 80,157 ล้านบาท โดยประเภทของตราสารที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด คือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 51,424 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 64.2% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ ลำดับถัดมาคือ พันธบัตรรัฐบาล มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 23,632 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 29.5% ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 1,267 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.6% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด
สำหรับ พันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุดในวันนี้คือ พันธบัตรรุ่น LB196A, LB176A และ LB17OA (รุ่นอายุ 4.7 ปี, 2.7 ปี และ 3.0 ปี ตามลำดับ) โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 16,068 ล้านบาท หรือคิดเป็น 68% ของมูลค่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมด ทางด้านหุ้นกู้เอกชนรุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. หุ้นกู้ของบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน)(BH16DA) มูลค่า 186.9 ล้านบาท
2. หุ้นกู้มีผู้ค้ำประกันของบริษัท ลีสซิ่งไอซีบีซี (ไทย) จำกัด (ICBCTL175A) มูลค่า 162.7 ล้านบาท
3. หุ้นกู้ของบริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด (MPSC219A) มูลค่า 130.1 ล้านบาท
โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 479.7 ล้านบาท หรือคิดเป็น 37.9% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นกู้เอกชนทั้งหมดในวันนี้
ทางด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดเป็น 2 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 4,832 ล้านบาท
2. กลุ่มบริษัทจดทะเบียนในประเทศ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 7,399 ล้านบาท
ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 5,044 ล้านบาท
ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 เดือน ปิดที่ 2.04% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน และผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ปิดที่ 2.85% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน 0.02%
Yield Curve ปรับเพิ่มขึ้นในตราสารอายุ 3 ปีขึ้นไป ประมาณ 1-2 bps. จากแรงขายทำกำไรของนักลงทุนบางส่วน หลังจากที่ทยอยซื้อไปในช่วงก่อนหน้า ด้านปัจจัยต่างประเทศ ล่าสุดตัวเลข Jobless Claims รายสัปดาห์ สิ้นสุดวันที่ 4 ต.ค. ของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง 1,000 ราย อยู่ที่ 287,000 ราย ซึ่งใกล้กับระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดวิกฤตการณ์การเงินในปี 2550-2552 ส่งสัญญาณถึงการฟื้นตัวต่อเนื่องของตลาดแรงงานสหรัฐ สำหรับนักลงทุนต่างชาติวันนี้มียอดซื้อสุทธิ (NET BUY) เท่ากับ 5,044 ล้านบาท ทั้งนี้ยอด Holding ของนักลงทุนต่างชาติ ณ สิ้นสัปดาห์นี้ ลดลง 7,530 ล้านบาท จาก 699,181 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อน เป็น 691,651 ล้านบาท