ผลดำเนินงานที่เติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อน เป็นผลจากการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้น 3.2% จากต้นทุนเงินฝากที่ปรับลดลง และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 5.6% จากการขยายตัวของรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจจัดการกองทุน ตามภาวะตลาดทุนที่ปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับการรับรู้กำไรจากเงินลงทุนในตลาดตราสารหนี้ตามภาวะตลาดที่เอื้ออำนวย
นอกจากนี้ การตั้งสำรองหนี้สูญลดลง 5.8% จากภาวะหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่เริ่มทรงตัวและสามารถบริหารจัดการได้
ผลการดำเนินงานดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการบริหารธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาวะเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังที่ฟื้นตัวดีขึ้น จากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ลดลง ส่งผลให้การบริโภคในประเทศกลับมาขยายตัว โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) ประมาณการว่า GDP ปี 57 จะขยายตัวที่ 1.5% และปรับเพิ่มเป็น 5.3% ในปี 58 ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งเสริมให้การดำเนินธุรกิจของทิสโก้ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับเงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 30 กันยายน 57 มีจำนวน 274,779 ล้านบาท ลดลง 2.0% จากไตรมาสก่อนหน้า ตามภาวะตลาดยานยนต์ที่ยังคงอ่อนตัวส่งผลให้สินเชื่อเช่าซื้อปรับลดลงตามยอดขายรถยนต์ รวมถึงการปรับตัวลดลงของสินเชื่อเพื่อผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ (Car Inventory Financing) อย่างไรก็ดี สินเชื่ออเนกประสงค์เริ่มปรับตัวดีขึ้นตามความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้จะมีผลกระทบจากหนี้สินภาครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ในขณะที่กลุ่มสินเชื่อธุรกิจขยายตัว 0.6% ตามภาวการณ์ลงทุนภาคเอกชนที่เริ่มปรับตัวในทางบวก ระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เริ่มทรงตัว โดยมีอัตราส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้รวมอยู่ที่ 2.35%
เมื่อพิจารณาในเรื่องความเพียงพอของเงินกองทุนตามกฎหมายของธนาคารทิสโก้ ตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ระดับฐานะเงินกองทุนเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ของธนาคารทิสโก้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างแข็งแกร่ง จากการจัดสรรกำไรบางส่วนจากผลกำไรในงวดครึ่งปีแรกเข้าเป็นเงินกองทุนตามกฎหมาย โดยประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์ (BIS Ratio) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 16.2% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 8.50% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 12.2% และ 4.1% ตามลำดับ
“เศรษฐกิจไทยปีนี้เป็นปีของการปรับฐาน ภาพรวมเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ครึ่งปีหลังเป็นต้นมา หลังจากที่การเมืองคลี่คลาย และเชื่อว่าจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า ทั้งการบริโภคในประเทศ และการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้แข็งแกร่งตามความเชื่อมั่นนักลงทุนที่ฟื้นตัว ซึ่งด้วยนโยบายการบริหารธุรกิจที่รอบคอบ มีประสิทธิภาพ และการปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสถานการณ์อยู่เสมอของทิสโก้ จึงเชื่อมั่นว่าจะทำให้ภาพรวมการดำเนินธุรกิจของทิสโก้เติบโตได้ดีในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ไปจนถึงปี 58" นางอรนุชกล่าว