บลจ.กสิกรฯ ออกกองตราสารหนี้ตปท.21-27 ต.ค.กระจายเสี่ยงตลาดหุ้นโลกผันผวน

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 20, 2014 12:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายนาวิน อินทรสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ในวันที่ 21-27 ตุลาคม 2557 บลจ.กสิกรไทยจะเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน เอคิว (KEFF6MAQ) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.65% ต่อปี และกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 3 เดือน อีวาย (KFI3MEY) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.25% ต่อปี โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน และสำหรับผู้ลงทุนบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียภาษี

ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ยังได้เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนต่อเนื่องให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้แบบที่มีกำหนดอายุโครงการ (Fixed Term Fund) เมื่อกองทุนครบกำหนดอายุโครงการ บริษัทจะนำเงินค่าขายคืนอัตโนมัติไปซื้อหน่วยลงทุนที่ผู้ลงทุนเลือกได้กองทุนใดกองทุนหนึ่งใน 3 กองทุน คือ กองทุนเปิดเค ตลาดเงิน (K-MONEY) กองทุนเปิดเค ตราสารรัฐระยะสั้น (K-TREASURY) หรือกองทุนเปิดเค เอ็มพลัส (K-MPLUS) ซึ่งอยู่ในกลุ่มกองทุนรวมตราสารหนี้ของบลจ.กสิกรไทย เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนอย่างต่อเนื่อง

นายนาวิน กล่าวว่า กองทุนตราสารหนี้ประเภทกำหนดอายุโครงการ (Fixed Term Fund) ยังคงเป็นกลุ่มกองทุนที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมของอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นปี 2557 ที่ผ่านมา ยังคงมีเม็ดเงินไหลเข้าอย่างต่อเนื่องมากกว่า 4 แสนล้านบาท โดยบลจ.กสิกรไทยยังครองส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่งและเป็นผู้นำในกลุ่มกองทุนดังกล่าว ทั้งนี้ แม้ว่าความนิยมในกองทุนตราสารหนี้อาจลดลงกว่าในปี 2556 เนื่องจากปัจจุบันแนวโน้มอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนประเภทนี้เริ่มปรับตัวลดลงและมีแนวโน้มใกล้เคียงกับกองทุนตลาดเงิน หรือกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น

อย่างไรก็ตามจากปัจจัยเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความผันผวน โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง โดยเหตุการณ์ล่าสุดที่ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างปรับตัวลงแรง หลังจาก IMF และธนาคารโลก ได้ประกาศตัวเลข GDP ของเศรษฐกิจโลกที่แสดงถึงการเติบโตที่ลดลง โดยให้เหตุผลว่าเศรษฐกิจในหลายภูมิภาค อาทิ ยุโรป จีน และญี่ปุ่นยังมีปัจจัยเสี่ยงจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง และอาจฟื้นตัวได้ล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้นักลงทุนต่างเทขายหุ้นและทำให้ตลาดเกิดความผันผวนในระยะสั้น ดังนั้นผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้น้อย ควรมีการกระจายการลงทุนไปยังกองทุนตราสารหนี้โดยเฉพาะกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนและยังให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าการลงทุนกับตราสารหนี้ภายในประเทศเพียงอย่างเดียว

ตราสารหนี้ที่กองทุน KEFF6MAQ จะเข้าไปลงทุนในเบื้องต้นประกอบ ด้วยเงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Garanti Bank, ประเทศตุรกี ร่วมด้วยตราสารหนี้ Agricultural Bank of China ตราสารหนี้ Akbank T.A.S., ประเทศตุรกี และตราสารหนี้ Banco BTG Pactual S.A., ประเทศบราซิล โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีสินทรัพย์ในการลงทุนสูงและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยผู้ลงทุนต้องลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำ 1,000,000 บาท

ส่วนกองทุน KFI3MEY จะลงทุนในเงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Bank of China นอกจากนี้ยังลงทุนในตราสารหนี้ประเทศไทยของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน), ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โดยตราสารที่กล่าวมามีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน ทั้งนี้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ