อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นในระยะสั้น ยังต้องเผชิญแรงกดดันกับการเทขายเพื่อทำกำไรหลังจากที่ดัชนีฯ ปรับตัวขึ้นแรงและเร็วในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มูลค่าหุ้น (Valuation) ในปัจจุบันเริ่มสูงเมื่อเทียบกับภูมิภาค ประกอบกับในช่วงนี้ยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติมเข้ามาสนับสนุนตลาดมากนัก ทำให้นักลงทุนยังชะลอการลงทุนเพื่อรอดูปัจจัยเพิ่มเติม โดยเฉพาะมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมทั้งที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยต่างประเทศที่ทำให้มี Sentiment เชิงลบ เช่น กระแสข่าวการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐหลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจฟื้นตัวได้แข็งแกร่งและมาตรการ QE เริ่มสิ้นสุดลงในเดือน ต.ค. 57 ความกังวลของการเติบโตของเศรษฐกิจจีน และ Geopolitical Risk ของตะวันออกกลางในกลุ่มรัสเซียและยูเครนที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งอาจบานปลายต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรปต่อรัสเซีย ทำให้นักลงทุนทยอยลดพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อลดความเสี่ยงลง ทำให้ SET Index ปรับฐานลดลงมาอยู่ที่ระดับช่วง 1,520-1,530 จุด หลังจากที่ปรับตัวสูงขึ้นไปแตะระดับที่ 1,600 จุด ในช่วงเดือน ส.ค. 57
อย่างไรก็ดี แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับฐานย่อตัวลงในช่วงที่ผ่านมา แต่มองว่าด้วยปัจจัยบวกที่ยังคงรออยู่ข้างหน้า โดยเฉพาะแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ทยอยออกมาต่อเนื่อง โดยเฉพาะแผนการดำเนินงานระยะยาวผ่านการลงทุนในโครงการด้านคมนาคมขนส่ง เช่น รถไฟฟ้า การก่อสร้างสุวรรณภูมิ เฟส 2 รวมทั้งการเร่งดำเนินการตามแผนเร่งด่วน เช่น การเบิกจ่ายงบลงทุน การส่งเสริมโครงการการลงทุน BOI การปฏิรูปโครงสร้างพลังงาน LPG และ NGV หลังจากที่ผ่านมาได้ผลักดันการท่องเที่ยวผ่านการลดหย่อนภาษี และการเร่งกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศผ่านการช่วยเหลือด้านค่าครองชีพให้แก่ชาวนา เป็นต้น
ขณะที่ ปัจจัยบวกจากต่างประเทศ มองว่าจะมาจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทยอยกลับคืนมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงตามลำดับ ประกอบกับแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินเชิงปริมาณเพิ่มเติมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งเชื่อว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยเฉพาะวงเงินที่จะเข้าซื้อสินทรัพย์เพิ่มเติมของ Asset Backed Securities และ Covered Bond ซึ่งจะผลักดันให้มีสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มเติม ทำให้ความกังวลในด้านการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและการสิ้นสุด QE ลดลง ซึ่งคาดว่า SET Index ในช่วงที่เหลือจนถึงปลายปี ดัชนีฯ น่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นแตะ 1,600 จุด และมีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบที่ระดับดัชนีฯ 1,700 จุดในปีหน้า
"ด้วยปัจจัยบวกที่ยังมีเข้ามาสนับสนุนตลาด ทำให้มองว่าการที่ตลาดหุ้นไทยปรับฐานย่อลง เป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุนที่จะทยอยสะสมหุ้นไทย โดยเฉพาะเมื่อ SET Index ปรับตัวต่ำกว่า 1,520 จุด ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานมองว่า SET Index น่าจะกลับมาสู่ระดับ 1,580-1,600 จุดได้ในปีนี้ โดย บลจ.วรรณ แนะนำกองทุนหุ้น 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิด 1VAL-D และ 1AMSET50 ซึ่งหากนักลงทุนสนใจลงทุนในหุ้นขนาดเล็กและกลางและเป็นหุ้นที่มีปันผลอาจพิจารณาการลงทุนในกองทุนเปิด 1VAL-D
ขณะที่หากนักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่เน้นลงทุนในหุ้น SET50 Index อาจพิจารณาลงทุนในกองทุนเปิด 1AM-SET50 ซึ่งตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (21 ต.ค. 57) ทั้ง 2 กองทุน ก็ให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ คือ อยู่ที่ 25.97% และ 18.57% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานของ SET Index และ SET50 Index ที่ 17.55% และ 14.84% ในช่วงเวลาเดียวกันตามลำดับ"นายวิน กล่าว