สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA)สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวม 59,081 ล้านบาท โดยประเภทของตราสารที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด คือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 44,782 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 75.8% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ ลำดับถัดมาคือ พันธบัตรรัฐบาล มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 11,501 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 19.5% ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 1,064 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.8% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด
สำหรับ พันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุดในวันนี้คือ พันธบัตรรุ่น LB155A, LB21DA และ LB236A (รุ่นอายุ 0.6 ปี, 7.2 ปี และ 8.7 ปี ตามลำดับ) โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 7,293 ล้านบาท หรือคิดเป็น 63% ของมูลค่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมด ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. หุ้นกู้ของบริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด (MPSC249A) มูลค่า 206.2 ล้านบาท
2. หุ้นกู้ของบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) (CPN15OA) มูลค่า 171.6 ล้านบาท
3. หุ้นกู้ของ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AWN244B) มูลค่า 106.2 ล้านบาท
โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 484.0 ล้านบาท หรือคิดเป็น 45.5% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นกู้เอกชนทั้งหมดในวันนี้
ทางด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดเป็น 2 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 14,437 ล้านบาท
2. กลุ่มบริษัทจดทะเบียนในประเทศ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 1,982 ล้านบาท
ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 3,659 ล้านบาท
ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 เดือน ปิดที่ 2.05% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน และผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ปิดที่ 2.7% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน 0.01%
Yield Curve แกว่งตัวในกรอบแคบๆ เปลี่ยนแปลงไม่เกิน 1 bp. นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ ล่าสุดตัวเลขดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือน ต.ค.ของจีน ขยายตัวที่ระดับ 50.4 สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 50.2 ในขณะที่ PMI ยูโรโซนปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 50.7 ดีกว่าตลาดคาดไว้ที่ระดับ 49.9 นอกจากนี้ตัวเลข Jobless Claims รายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้ ส่งผลต่อ Global Sentiment ในเชิงบวก สำหรับนักลงทุนต่างชาติวันนี้มียอดซื้อสุทธิ (NET BUY) เท่ากับ 3,659 ล้านบาท ทั้งนี้ยอด Holding ของนักลงทุนต่างชาติ ณ สิ้นสัปดาห์นี้ ลดลง 8,187 ล้านบาท จาก 695,508 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อน เป็น 687,321 ล้านบาท