"กำลังผลิตเอทานอลของเรา 230,000 ลิตรต่อวัน ซึ่งถือว่าเป็นโรงผลิตเอทานอลที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย และเราสามารถขายเอทานอลที่ผลิตได้ทั้งหมด ไม่มีตกค้าง นั่นแสดงถึงศักยภาพด้านการตลาดของกลุ่มเคทิส โดยจุดแข็งหนึ่งของกลุ่มเราที่ทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นก็คือ การส่งมอบสินค้าตามสัญญาได้อย่างไม่เคยขาดตกบกพร่อง เนื่องจากเรามีวัตถุดิบคือโมลาสที่ผลิตในกลุ่มของเราเอง สามารถป้อนเข้าสู่โรงงานได้ตลอดเวลา"นายณัฎฐปัญญ์ กล่าว
ทั้งนี้ ความต้องการใช้เอทานอลยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการที่ภาครัฐและเอกชนสนับสนุนการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล โดยเฉพาะ E85 และ E20 โดยค่ายรถยนต์ต่างๆ ก็ได้ให้ความร่วมมือในการผลิตเครื่องยนต์ที่รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอลดังกล่าวนี้ ซึ่งเมื่อองค์ประกอบของตลาดเอทานอลมีความพร้อม ทั้งผู้ผลิต ผู้ค้า (ปั๊มน้ำมันต่างๆ) รวมถึงรถยนต์ก็ทำให้ตลาดเอทานอลเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง
นอกจากนั้น กลุ่มเคทิสอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตผลพลอยได้(By products)จากเอทานอล เช่น น้ำกากส่า กากตะกอนยีสต์ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางการเกษตรได้ โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ ทีมผู้บริหารเคทิสกำลังพิจารณามูลค่าในการลงทุนและผลที่จะได้รับทั้งทางตรงและทางอ้อม จึงเชื่อว่ารายได้จากสายธุรกิจเอทานอลของกลุ่มเคทิสจะเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง
"เราไม่ได้มองในแง่ของการเพิ่มยอดขายแต่เพียงอย่างเดียว ยังมองถึงการมีโอกาสช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยของเราให้ได้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพดี ในราคาที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้ได้อ้อยคุณภาพดี เป็นประโยชน์ทั้งกับชาวไร่อ้อย และเคทิสเอง โดยหากได้ข้อสรุปในเรื่องการลงทุนดังกล่าวนี้แล้ว จะรีบแจ้งให้ทุกฝ่ายทราบต่อไป"นายณัฎฐปัญญ์ กล่าว