สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA)สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยวันนี้ มีมูลค่าการซื้อขายรวม 91,982 ล้านบาท โดยประเภทของตราสารที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด คือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 72,913 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 79.3% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ ลำดับถัดมาคือ พันธบัตรรัฐบาล มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 12,454 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 13.5% ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 981 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.1% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด
สำหรับ พันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุดในวันนี้คือ พันธบัตรรุ่น LB155A, LB15DA และ LB196A (รุ่นอายุ 0.6 ปี, 1.2 ปี และ 4.7 ปี ตามลำดับ) โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 7,827 ล้านบาท หรือคิดเป็น 63% ของมูลค่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมด ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. หุ้นกู้บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน)(DTAC167A) มูลค่า 215.3 ล้านบาท
2. หุ้นกู้ของบริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด(MPSC156A) มูลค่า 164.1 ล้านบาท
3. หุ้นกู้ของบริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)(OISHI168A) มูลค่า 128.8 ล้านบาท
โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 508.3 ล้านบาท หรือคิดเป็น 51.8% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นกู้เอกชนทั้งหมดในวันนี้
ทางด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดเป็น 2 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 22,240 ล้านบาท
2. กลุ่มสถาบันการเงินที่ไม่มีใบอนุญาตเพื่อค้าตราสารหนี้ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 1,430 ล้านบาท
ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 3,199 ล้านบาท
ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 เดือน ปิดที่ 2.05% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน และผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ปิดที่ 2.75% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน 0.01%
Yield Curve ค่อนข้างนิ่งในทุกช่วงอายุตราสาร แต่ระหว่างวันมีการแกว่งตัวในตราสารอายุมากกว่า 3 ปีขึ้นไป โดยปรับลดลงในช่วงแรกประมาณ 1-2 bps. และปรับเพิ่มขึ้นในช่วงท้าย นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงติดตามผลการประชุม FOMC คืนนี้ โดยตลาดคาดว่า Fed จะตัดสินใจยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงปริมาณ (QE3) ที่เหลืออยู่ $15bn./เดือน แต่จะยังคงใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำต่อไป สำหรับนักลงทุนต่างชาติวันนี้มียอดซื้อสุทธิ (NET BUY) เท่ากับ 3,199 ล้านบาท