ส่วนผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนของปี 57 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 370,835 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของทุกธุรกิจในเอสซีจี โดยเอสซีจีมีกำไรสำหรับงวด 24,759 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 13 จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากไตรมาสที่ 3 ของปีก่อน มีกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในบริษัท สยามซานิทารีแวร์ จำกัด และบริษัท สยามซานิทารีฟิตติ้งส์ จำกัด และกำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัท โตโต้ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จากัด รวมทั้งในปีนี้มีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมลดลง
ณ วันที่ 30 กันยายน 57 เอสซีจีมีสินทรัพย์รวม เท่ากับ 473,405 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 56 จำนวน 32,717 ล้านบาท
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCC คาดว่ารายได้รวของบริษัทในปีนี้น่าจะอยู่ที่ 4.88 แสนล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้จากเคมีภัณฑ์ราว 50% อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับทิศทางค่าเงินบาทและค่าเงินในภูมิภาคด้วย
บริษัทเชื่อว่าไตรมาส 4/57 กำไรน่าจะดีกว่าไตรมาส 3/57 เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์(สเปรด)สูงขึ้น เป็นผลจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลงอย่างรวดเร็วจาก 100-110 เหรียญ/บาร์เรล มาที่ 80-90 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่ง ณ วันนี้ราคาอยู่ที่ 85 เหรียญ/บาร์เรล จึงคาดว่าสเปรดระหว่างโพลีเอทิลีน(PE)กับแนฟทาน่าจะเกิน 700 เหรียญ/ตัน และสเปรดระหว่างโพลีโพพิลีน(PP)อยู่ใกล้ 800 เหรียญ/ตัน ทำให้มีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA)ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยชดเชยผลขาดทุนจากสต๊อกราว 500-700 ล้านบาทได้
ขณะที่บริษัทมองแนวโน้มเศรษฐกิจในไตรมาส 4/57 จะฟื้นตัวดีขึ้นและเห็นผลชัดเจนขึ้นอีกในปี 58 จากการโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ จึงคาดว่าในปีหน้าความต้องการใช้ปูนซิเมนต์ในประเทศจะเติบโตอย่างน้อย 5% หรือประมาณ 42 ล้านตัน จากปีนี้ที่คาดว่ามีความต้องการใช้ในประเทศประมาณ 40 ล้านตัน หรือไม่เติบโตจากปีก่อน
"ปีนี้ทั้งปีความต้องการใช้ปูนซิเมนต์ในประเทศไม่เติบโต แต่ปี 58 จะเติบโตจากโครงการภาครัฐ และเริ่มมีการใช้ปูนซินเมต์ในไตรมาสที่ 2 และใช้มากในไตรมาส 2-3 เชื่อว่าบางส่วนเริ่มเห็นในครึ่งหลังไตรมาสที่ 4 ปีนี้เพราะภาครัฐคงอัดฉีด และการลงทุนของภาคเอกชนการสร้างโรงงานน่าทยอยตามมาอีก 6 เดือน รวมที่อยู่อาศัย ก็น่าจะเห็นการใช้มากในครึ่งหลังปี 58" นายกานต์ กล่าว
นายกานต์ กล่าวอีกว่า ธุรกิจเคมีภัณฑ์น่าจะยังดีต่อเนื่องไปอีก 3 ปี หรือเติบโตต่อเนื่องในช่วงปี 58-60 ซึ่งเป็นวัฎจักรขาขึ้นเนื่องจากซัพพลายในตลาดโลกมีอยู่ 4-5 ล้านตัน ใกล้เคียงกับความต้องการ ทำให้คาดว่าอัตรากำไรจะปรับตัวดีขึ้น ขณะที่มีปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่ลดลงมากเหนือความคาดหมาย ประกอบกับ การฟื้นตัวเศรษฐกิจในสหรัฐจะช่วยผลักดันให้ดีมานด์เพิ่มสูงขึ้น ฉะนั้น ผลประกอบการของ SCC ก็น่าจะดีขึ้นไปด้วยในช่วง 3 ปีข้างหน้านี้
ในวันนี้คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติงบลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาทในโครงการลงทุนธุรกิจปูนสำเร็จรูป(Mortar) ปูนสำเร็จรูป HVA ใช้ในงานก่ออิฐและงานฉาบผนัง มีกำลังการผลิต 2 ล้านตัน/ปี ใช้เงินลงทุน 2,800 ล้านบาท โดยก่อสร้างในจังหวัดขอนแก่นและลำปาง คาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 59 และโครงการร่วมทุนธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างในอาเซียน โดย SCC จะเข้าร่วมทุนในสัดส่วน 50:50 กับบมจ.สยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) เพื่อจัดตั้งบริษัท โกลบอลเฮ้าส์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด โดยเป็นเงินลงทุนในส่วนของ SCC ประมาณ 200 ล้านบาทเพื่อสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจค้าปลีกวัสดุดก่อสร้างในรูปแบบคลังสินค้าในอาเซียน
ส่วนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม คาดว่าจะสามารถสรุปวงเงินลงทุนได้ภายในต้นปีหน้า หรือประมาณมี.ค. 58 หรืออาจเลื่อนไปเล็กน้อย โดยจะรู้วงเงินลงทุนที่แท้จริง และจะใช้เงินกู้และเงินทุนสัดส่วนเท่าไร ทั้งนี้ มูลค่าโครงการดังกล่าวอยู่ที่ 4.5 พันล้านเหรียญ
ด้านนายเชาวลิต เอกบุตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ การเงินและการลงทุน SCC กล่าวว่า ภายในเดือน พ.ย. คาดว่าจะสรุปดีลการเข้าซื้อกิจการที่เป็นบริษัทที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีในยุโรป 1 แห่งโดยจะใช้เงินหลักร้อยล้านบาทเท่านั้น นอกจากนี้ บริษัทจะนำเสนอแนวทางแก้ไขสภาพคล่อง(Free float) ของหุ้นบมจ.ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ (TPC) ให้กับคณะกรรมการบริษัทในเดือนพ.ย.นี้เนื่องจากปัจจุบันไม่มีสภาพคล่องของหุ้น TPC ทั้งนี้ปัจจุบัน SCC ถือสัดส่วน 45.64% และ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลล์ จำกัด ถืออยู่ 45.04%
ทั้งนี้ SCC ระบุในเอกสารประกอบการเปิดเผยผลประกอบการในไตรมาส 3/57 ว่า บริษัทยังคงมุ่งดำเนินกลยุทธ์ในการขยายการลงทุนในธุรกิจหลักไปยังภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้ประมาณการรายจ่ายลงทุนและเงินลงทุนสำหรับปี 58-62 เป็นเงินจำนวน 200,000-250,000 ล้านบาท
ส่วนช่วง 9 เดือนของปี 57 มีมูลค่าการลงทุนเท่ากับ 32,406 ล้านบาท ทั้งนี้ สัดส่วนการลงทุนเป็นของเอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง 57% เอสซีจี เปเปอร์ 26% เอสซีจี เคมิคอลส์ 12% และส่วนงานอื่น 5% โดยคาดการณ์รายจ่ายลงทุนและเงินลงทุนของทั้งปี 57 เป็นเงินประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาท