(เพิ่มเติม) FIRE เคาะราคา IPO ที่ 3.00 บาท เสนอขาย 5-7 พ.ย.เข้าเทรด 13 พ.ย.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 3, 2014 15:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิรัฐ สุขชัย กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไฟร์วิคเตอร์(FIRE) เปิดเผยว่า บริษัทกำหนดราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก(IPO) จำนวน 90 ล้านหุ้น ที่ 3.00 บาท/หุ้น จากมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท/หุ้น โดยจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 5-7 พ.ย.57 และคาดว่าจะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 13 พ.ย.57

ทั้งนี้ บริษัทได้แต่งตั้ง บล.ธนชาต และ บล.เคทีซีมิโก้ เป็นแกนนำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท เพื่อนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปขยายสำนักงานสาขาต่างจังหวัดที่ จ.ระยอง รองรับการทำการตลาดในลูกค้ากลุ่มปิโตรเคมี เพื่อจำหน่ายอุปกรณ์ดับเพลิง รวมทั้งงานโครงการติดตั้งระบบดับเพลิง ให้คำปรึกษาและออกแบบ ตลอดจนสัญญาณเตือนภัยในเขตอุตสาหกรรมต่าง ๆ

นอกจากนี้ ยังจะเตรียมเงินลงทุนไว้สำหรับการซื้ออุปกรณ์และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในระบบดำเนินงานด้านสนับสนุน และเพื่อชำระหนี้บางส่วน ที่เหลือเป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการลงทุนใน 2-3 ปีข้างหน้า

ด้านนายประเสริฐ ภัทรดิลก กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน(FA)ของ FIRE เปิดเผยว่า ราคา IPO ที่ 3.00 บาท/หุ้น อิง PE ที่ 16.67 เท่า ถือเป็นระดับที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ด้วยศักยภาพของบริษัทเป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์วาล์วและอุปกรณ์ดับเพลิง วาล์วและระบบอุปกรณ์สุขาภิบาลและปรับอากาศ รวมถึงให้บริการติดตั้งระบบดับเพลิงที่มีสินค้ากว่า 3,000 รายการภายใต้ตราสินค้า(แบรนด์)ที่มีชื่อเสียงกว่า 25 แบรนด์

น.ส.สุวภา เจริญยิ่ง กรรมการผู้จัดการ สายธุรกิจวาณิชธนกิจ บล.ธนชาต ในฐานะแกนนำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น FIRE กล่าวว่า หุ้น FIRE ถือเป็นหุ้นที่น่าจับตาโดยเม็ดเงินจากการระดมทุนครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งรองรับการขยายธุรกิจปัจจุบันและขยายตัวไปยังกลุ่มลูกค้าที่มีการขยายตัวสูง และปัจจุบันได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการบังคับใช้กฎหมายด้านความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีศักยภาพในการเติบโตได้ในระยะยาว

นายวิรัฐ กล่าวต่ออีกว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 58 เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% หลังจากแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะกลับมาเติบโตได้ดีอีกครั้ง รวมถึงมีโอกาขยายการรับงานโครงการ ไม่ว่าจะเป็นการส่งมอบอุปกรณ์ดับเพลิงให้แก่รถไฟฟ้าใต้ดินสายใหม่ 10 สาย งานโครงการสุวรรณภูมิเฟส 2 งานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการรุกเข้ารับงานโครงการภาคอุตสาหกรรมมากขึ้นด้วย คาดว่าปีหน้าสัดส่วนรายได้จากงานโครงการจะเพิ่มขึ้นเป็น 30% จากปัจจุบันอยู่ที่ 20% ซึ่งจะช่วยให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทสูงขึ้นอีกราว 5-10% จากเดิม 26-29%

ส่วนผลงานในปีนี้คาดว่ารายได้จะเติบโต 10-15% จากปี 56 ที่มีรายได้ 521 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่คาดไว้ 15% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองปลายปี 56 ต่อเนื่องต้นปี 57 ทำให้งานภาครัฐ โครงการลงทุนภาคอุตสาหกรรม และอสังหาริมทรัพย์ชะลอออกไป แต่กำไรสุทธิปีนี้มั่นใจว่าจะสูงกว่าปีก่อนที่ทำได้ 61 ล้านบาท แม้จะเติบโตในอัตราที่ต่ำกว่ารายได้ เนื่องจากบริษัทเข้าไปรับงานมากขึ้น จึงต้องมีการแข่งขันด้านราคา

"ปี 58 รายได้จะเติบโตอย่างมากเนื่องจากเข้าไปบุกงานโครงการอุตสาหกรรม รวมไปถึงหลังจากที่การเมืองนิ่งแล้วทำให้งานภาครัฐฯ และโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆเริ่มกลับมามากขึ้น แต่ปีนี้รายได้เราอาจจะเติบโตได้แค่ 10-15% เพราะการเมืองกระทบไปซะเยอะ งานต่างๆก็ชะลอออกไปแต่ก็ยังมีการเติบโตทั้งรายได้และกำไร เพราะลงไปแข่งขันเพื่อที่จะหาลูกค้าใหม่ๆเพิ่มเติม"นายวิรัฐ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้จะทะลุ 1 พันล้านบาทในระยะเวลา 3-4 ปี หรือภายในปี 61 ซึ่งเมื่อบริษัทได้รับเงินจากการระดมทุนแล้วก็จะมีเงินทุนหมุนเวียนเข้ามามากขึ้น ทำให้สามารถรับงานที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องภายใต้เป้าหมายการเติบโตของรายได้ต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ อย่างน้อย 20% จากก่อนหน้านี้มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 3 ปีที่ราว 17%

"หลังจากที่เราได้เงินจากการขาย IPO เข้ามาก็จะช่วยให้รายได้ของเราเติบโตได้อย่างน้อยปีละ 20% จาก 3 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตของรายได้เฉลี่ย 17% ซึ่งหากสามารถมีการเติบโตเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 20% หลังจากนี้ไปอย่างต่อเนื่อง ในปี 61 รายได้ของเราคงขึ้นไปทลุ 1 พันล้านบาทได้"นายวิรัฐ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ