PLE คาดปี 58 รายได้แตะ 1 หมื่นลบ.มาร์จิ้น 10-11% สูงกว่าปีนี้ รับงานใหม่เพียบ

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 3, 2014 16:56 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเสวก ศรีสุชาต ประธานกรรมการ บมจ.เพาเวอร์ไลน์ เอ็นจิเนียริ่ง (PLE) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าในปี 58 รายได้จะพุ่งแตะ 1 หมื่นล้านบาท จากปี 57 ที่คาดว่าจะทำได้ 7-8 พันล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 8.7 พันล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น(Gross Profit Margin:GP)จะสูงขึ้นเป็น 10-11% จากปีนี้ทำได้ระดับเฉลี่ย 8%

อย่างไรก็ตาม แม้ปีนี้รายได้จะหดตัวลง แต่คาดว่ากำไรจะสูงกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 17.52 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทเลือกงานที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังที่สามารถขยับอัตรากำไรขั้นต้นมาที่ 8-9% โดยในไตรมาส 3/57 คาดว่าจะเริ่มพลิกเป็นกำไร จากไตรมาส 2/57 ที่มีผลขาดทุนราว 37.27 ล้านบาท

"ครึ่งปีแรกงาน slow ไปเยอะ overhead สูงขึ้น ทำให้มาร์จิ้นปีนี้ลดลงไปเหลือเฉลี่ย 8% เทียบกับปีก่อนทำไห้ 10-11% ตอนนี้เรารับงานที่มี Gross Profit Margin ที่ 10-12% เรามีโอกาสเลือกงานมากขึ้น ยิ่งถ้าภาครัฐมีงานออกมามาก ผู้รับเหมาก็หันไปทำงานภาครัฐ ภาคเอกชนจะหาผู้รับเหมายากขึ้น ตั้งเป้าว่าปีหน้าจะมี GP ที่ 10-11%"นายเสวก กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทมองว่าในปี 58 เป็นโอกาสที่จะได้รับงานใหม่เพิ่มเข้ามาประมาณ 4.4 - 6.6 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากงานภาครัฐที่เป็นโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานตามยุทธศาสตร์การขนส่ง หลังจากงานในปีนี้เข้ามาน้อยมาก โดยครึ่งปีแรกได้รับงานใหม่เพียง 4.5 พันล้านบาท และในไตรมาส 4 นี้ มีงานรอเซ็นสัญญา 1.3 พันล้านบาทซึ่งเป็นงานก่อสร้างโรงไฟฟ้า และอีก 2 งานราว 1 พันล้านบาทที่อยู่ระหว่างเจรจา จากปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ(Backlog) 1.2 หมื่นล้านบาทที่จะทยอยรับรู้ถึงปีหน้า

นายเสวก กล่าวว่า ปีหน้าจะมีการประมูลรถไฟฟ้ารางคู่ 6 สัญญา รวมมูลค่าโครงการราว 1.25 แสนล้านบาท โครงการถไฟความเร็วปานกลาง 2 เส้นทาง คือหนองคาย-มาบตาพุด และ เชียงของ-เด่นชัย รวมมูลค่า 7 แสนล้านบาท ส่วนนี้คาดว่าจะเข้าไปรับงานเหมาช่วงจากจีนหรือญีปุ่นที่คาดจะมีความร่วมมือแบบรัฐ่ต่อรัฐ โดย PLE คาดว่าจะรับงานส่วนนี้ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท

นอกจากนั้น ยังมีงานรถไฟฟ้าขนส่งมวลขนในกรุงเทพและปริมณฑล ที่คาดว่าจะออกประมูล 3 เส้นทาง มูลค่าโครงการ 2-3 แสนล้านบาท แบ่งเป็น 16 สัญญา บริษัทคาดว่าจะได้งานอย่างน้อย 1-2 สัญญา มุลค่างานประมาณ 1-3 หมื่นล้านบาท และโครงการขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 มูลค่าราว 6.5 หมื่นล้านบาท โดย PLE ตั้งเป้าได้งานส่วนนี้ 5-6 พันล้านบาท รวมทั้งคาดว่าจะมีงานภาคเอกชนอีก 9 พันล้านบาท-1 หมื่นล้านบาท ได้แก่ งานก่อสร้างห้างสรรพสินค้าของกลุ่มเดอะมอลล์และกลุ่มเซ็นทรัล

นายเสวก กล่าวว่า ในวันนี้บริษัทได้ลงนามแต่งตั้ง บล.โนมูระ พัฒนสิน เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ มูลค่า 500 ล้านบาท ซึ่งเป็นหุ้นกู้ระยะยาวอายุเกิน 9 เดือน แต่ไม่จัดอันดับเครดิต(Not Rated) คาดอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วง 5.5-6.5% โดยจะเสนอขายให้กับนักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนรายใหญ่ช่วงกลางเดือน พ.ย.นี้ เป็นการระดมทุนไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนรองรับงานใหม่ แม้ว่าแต่ละงานจะมี Project Finance เป็นแหล่งทุนอยู่แล้ว ปัจจุบันบริษัทมีต้นทุนการเงินที่ 7.5-8% เป็นเงินกู้สถาบันการเงินหลักพันล้านบาท

สำหรับความคืบหน้าโครงการโซโห(SOHO)นั้น นายเสวก กล่าวว่า ขณะนี้กำลังปรับรูปแบบโครงการว่าจะเป็นศูนย์ขายส่งหรือขายปลีก เพื่อให้เกิดความชัดเจนด้านการตลาด เพราะบริษัทอาจจะขายเป็นสินทรัพย์ของกองทุนทรัสต์เพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT)ปีหน้า มูลค่าอย่างน้อย 1.5 พันล้านบาท หากการเจรจากันพันธมิตรสัญชาติจีน ซึ่งเป็นผู้บริหารศูนย์การค้าเข้ามาเช่าพื้นที่โครงการทั้งหมดไม่สำเร็จ แต่หากการเจรจาสำเร็จบริษัทก็ไม่จำเป็นต้องจัดตั้งกอง REIT คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะได้ข้อสรุป

บริษัทยังมีการลงทุนในโรงไฟฟ้าชีวมวล ขนาดกำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์ที่ จ.อยุธยา ซึ่งร่วมทุนกับโรงสี โดย PLE ถือหุ้น 58% ผลการดำเนินงานขาดทุนเพราะราคาแกลบที่เป็นวัตถุดิบสำคัญมีราคาสูง แต่มีค่าอัตราส่วนเพิ่ม ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ (Adder) เพียง 30 สต./หน่วย บริษัทจึงมีแผนจะย้ายที่ตั้งโรงไฟฟ้าดังกล่าวไปอยู่ที่ภาคใต้หรือภาคอีสาน ใกล้กับสวนยางพารา เพราะสามารถนำเปลือกยางพาราที่มีต้นทุนต่ำกว่ามาใช้แทน คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้เช่นกัน

รวมทั้งมีแผนจะขยายโรงไฟฟ้าเพิ่มอีก 1 โรง ซึ่งอาจเป็นโรงไฟฟ้าชีวมวล ขนาด 10 เมกะวัตต์ เงินลงทุนราว 700-800 ล้านบาท หรือโรงไฟฟ้าจากขยะ ขนาด 10 เมกะวัตต์ คาดใช้เงินลงทุน 1,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้เจรจาพันธมิตรอยู่ 2-3 ราย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ