บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า ระยะสั้นคาดว่า ราคาหุ้น บมจ.ซีพี ออลล์(CPALL)จะปรับตัวลง เพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานที่อ่อนแอ โดยกำไรสุทธิประจำ 3Q57 จำนวน 2,688 ล้านบาท (+19.4%QoQ, +1.1%YoY) จากรายได้ในการจัดรายการส่งเสริมการขายแสตมป์กับที่ได้ Rebate จาก Suppliers มาก่อน โดยรายได้หลักลดลง 1.4%QoQ แต่เพิ่มขึ้น 6.0%YoY ซึ่งมาจากการเติบโตของการเปิดสาขาใหม่ ในขณะที่อัตราการเติบโตของสาขาเดิม (SSSG) ลดลงถึง 4.5% ซึ่งนับเป็นระดับที่อ่อนแอกว่าช่วง Shut Down Bangkok หรือ ช่วงน้ำท่วม เนื่องจากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวอย่างแท้จริง
และการจัดรายการแสตมป์ไม่ดึงดูดอย่างในปีที่ผ่านมา อัตรากำไรขั้นต้นเฉพาะธุรกิจสะดวกซื้อลดลงมาอยู่ที่ 25.7% ทรงตัวจากปีก่อนแต่ลดลงจาก 26.2% ในไตรามาสก่อน จากส่วนผสมการขายสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงลดลง นอกจากนี้ต้นทุนทางการเงินในการซื้อ MAKRO ยังคงเป็นภาระกดดันกำไรโดยรวม รวมกำไรสุทธิช่วง 9M57 อยู่ที่ 7,644 ล้านบาท (-10%YoY) คิดเป็น 76% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี
จากการที่ภาพรวมทางเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งช้ากว่าที่ทุกคนคาดการณ์ไว้ ทำให้ยอดขายยังคงไม่ฟื้นตัวแรง ประกอบกับโปรโมชั่นแสตมป์ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร จึงทำให้มีโอกาสที่ใน 4Q57 ในส่วนของรายได้อื่นที่มีการ Rebate กับ Supplier จะลดลงไป ทั้งนี้ยังคงเดินหน้าขยายสาขาร้านสะดวกซื้อ ตั้งเป้า 600 สาขาในปีนี้
แต่ยังคงคำแนะนำ"ซื้อ"เพื่อลงทุน ปรับใช้ราคาเป้าหมาย ที่ 56 บาท มีมุมมองเชิงบวกในระยะยาว จากกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจที่ไม่หยุดนิ่งเพียงร้านสะดวกซื้อแบบเก่า โดยคาดหวังว่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลง การต่อยอดธุรกิจ การใช้ประโยชน์จากการควบรวมของทั้งตัว CPALL และ MAKRO และประโยชน์จากในกลุ่ม CP เองที่จะมี Synergy ร่วมกัน
นอกจากนี้คาดว่าอีกในระยะเวลาไม่นานน่าจะมีการพิจารณาการลดสัดส่วนการถือหุ้นใน MAKRO ซึ่งส่งผลดีทั้งต่อ CPALL และ MAKRO ที่จะมีสภาพคล่องในการซื้อขายเพิ่มขึ้น และช่วยในการลดภาระหนี้