อันดับเครดิตสะท้อนถึงความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันของบริษัท ตลอดจนการผสานธุรกิจการตลาดเข้ากับธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน การเป็นผู้นำด้านพลังงานทดแทน และการขยายธุรกิจไปสู่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตดังกล่าวได้ประเมินถึงการขยายกิจการไปสู่ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม รวมถึงความผันผวนของราคาน้ำมันและค่าการกลั่น (GRM) ไว้ด้วยแล้ว
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในช่องทางการค้าปลีกน้ำมันได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จะสร้างรายได้ที่แน่นอนให้แก่บริษัทและจะช่วยลดความผันผวนของธุรกิจน้ำมันและธุรกิจการตลาดของบริษัทลงได้บางส่วน
BCP ก่อตั้งในปี 2528 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2536 บริษัทเป็นเจ้าของและดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์ (Complex Refinery) ซึ่งตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยมีกำลังการกลั่น 120,000 บาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นประมาณ 11% ของกำลังการกลั่นทั้งหมดภายในประเทศ บริษัทยังดำเนินธุรกิจสถานีบริการน้ำมันภายใต้เครื่องหมายการค้า “บางจาก" ด้วย โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557 บริษัทมีสถานีบริการน้ำมันจำนวน 1,062 แห่ง
นอกจากนี้ บริษัทยังดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 118 เมกะวัตต์ สำหรับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทมาจากโรงกลั่นน้ำมัน 52% จากธุรกิจการตลาด 26% และจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ 22% ณ เดือนกันยายน 2557 ผู้ถือหุ้นของบริษัทประกอบด้วย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) 27.22% กระทรวงการคลัง 9.98% และส่วนที่เหลืออีก 62.80% ถือโดยนักลงทุนทั่วไป
สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทสะท้อนถึงการผสานธุรกิจการตลาดเข้ากับธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน โรงกลั่นน้ำมันแบบคอมเพล็กซ์ของบริษัทมีความสามารถในการกลั่นน้ำมันดิบได้หลากหลายชนิดและได้ผลิตภัณฑ์ที่ให้กำไรสูงในสัดส่วนที่สูง เช่น น้ำมันดีเซล และน้ำมันอากาศยาน ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 บริษัทได้หยุดเดินเครื่องโรงกลั่นน้ำมัน 46 วันเพื่อตรวจซ่อมบำรุงรักษาครั้งใหญ่ตามวาระและเพื่อทำการเปลี่ยนหน่วยกลั่นน้ำมันดิบใหม่ ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันดิบเข้ากลั่นลดลงเหลือ 73,000 บาร์เรลต่อวันเมื่อเทียบกับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2556 ที่ 97,800 บาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ตาม คาดว่าปริมาณน้ำมันดิบเข้ากลั่นจะเพิ่มเป็นประมาณ 100,000 บาร์เรลต่อวันในช่วงครึ่งหลังของปี 2557
สำหรับผลิตภัณฑ์น้ำมันที่บริษัทกลั่นได้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 ประกอบไปด้วยน้ำมันดีเซล 49% น้ำมันเบนซิน 20% น้ำมันเตา 18% และน้ำมันอากาศยาน 9% โดยบริษัทมีค่าการกลั่นพื้นฐาน (Base GRM) ที่ 5.9 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557
แม้ว่าโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทจะหยุดซ่อมบำรุง ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปที่จำหน่ายผ่านสถานีบริการของบริษัทยังคงเพิ่มขึ้น 2.5% จาก 243 ล้านลิตรต่อเดือนในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2556 เป็น 248 ล้านลิตรต่อเดือนในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 โดยน้ำมันสำเร็จรูปที่จำหน่ายผ่านสถานีบริการของบริษัทคิดเป็น 64% ของยอดจำหน่ายรวมสำหรับธุรกิจการตลาดของบริษัท ส่วนที่เหลืออีก 36% จำหน่ายโดยตรงให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม บริษัทให้ความสำคัญในการให้บริการน้ำมันในกลุ่มแก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซล ซึ่งทำให้บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดในการจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการเพิ่มขึ้นเป็น 15% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 จาก 14.6% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2556 และบริษัทเป็นผู้จำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ
สำหรับธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์นั้น บริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 118 เมกะวัตต์กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยบริษัทได้รับส่วนเพิ่มอัตราค่าไฟฟ้า (Adder) จำนวน 8 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง ณ เดือนมิถุนายน 2557 โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมดของบริษัทได้เปิดดำเนินงานแล้ว ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์สร้าง EBITDA ให้แก่บริษัทเป็นจำนวน 1,123 ล้านบาท และบริษัทคาดว่าจะสามารถสร้าง EBITDA จากโรงไฟฟ้าได้ปีละประมาณ 2,700-2,8000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20%-25% ของประมาณการ EBITDA รวมของบริษัท
สถานะทางการเงินของบริษัทในช่วงปี 2556 ถึง 6 เดือนแรกของปี 2557 เป็นไปตามประมาณการของทริสเรทติ้ง โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 บริษัทมีรายได้ 90,433 ล้านบาท ลดลง 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ เนื่องจากปริมาณขายที่ลดลงแม้ว่าราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้น โดยบริษัทมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย 4.4% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557 บริษัทมีเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 31,283 ล้านบาท จาก 21,914 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2556 ในขณะที่โครงสร้างเงินทุนยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจโดยมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ระดับ 46% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557
ในเดือนตุลาคม 2557 บริษัทได้ซื้อหุ้นใน Nido Petroleum Ltd. (Nido) ในสัดส่วน 81.41% โดยมีมูลค่าการซื้อประมาณ 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท) การซื้อหุ้น Nido ในครั้งนี้เป็นความพยายามของบริษัทในการทำธุรกิจแบบครบวงจรโดยครอบคลุมไปถึงธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม โดย Nido เป็นบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมอิสระซึ่งจดทะเบียนใน Australian Securities Exchange (ASX) และมีการลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 Nido มีอัตราการผลิตน้ำมันดิบที่ 2,111 บาร์เรลต่อวัน ในขณะที่ Nido มีปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่พิสูจน์แล้ว 4.14 ล้านบาร์เรล ณ สิ้นปี 2556 แม้ว่าการลงทุนในครั้งนี้จะสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่บริษัท แต่บริษัทจะมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการดำเนินธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในสภาพแวดล้อมและกฎระเบียบที่แตกต่างจากธุรกิจเดิมของบริษัท
ในช่วงปี 2557-2560 สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมี EBITDA เกินกว่า 9,000 ล้านบาทต่อปีโดยมีปริมาณน้ำมันดิบเข้ากลั่น 100,000-110,000 บาร์เรลต่อวัน มีค่าการกลั่นพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และคาดว่าบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายส่วนทุนและการลงทุนในระหว่างปี 2557-2560 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยประมาณ 26,000 ล้านบาทจะใช้สำหรับการปรับปรุงประสิทธิภาพและขยายกำลังการผลิตของโรงกลั่น รวมทั้งขยายเครือข่ายธุรกิจการตลาด ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และเพิ่มกำลังการผลิตของโรงงานไบโอดีเซล ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 4,000 ล้านบาทจะใช้เป็นงบประมาณสำหรับการลงทุนใน Nido และโรงงานเอทานอล ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจาก EBITDA และแผนการลงทุนแล้ว คาดว่าสัดส่วนเงินกู้ต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงที่มีการลงทุนใหม่ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าสัดส่วนนี้จะอยู่ในระดับไม่เกิน 50% ในระยะ 3 ปีข้างหน้า