บล.ไอร่า เซ็น MOU โบรกฯเกาหลี หวังเพิ่มธุรกรรมตปท.-ดันมาร์เก็ตแชร์โต

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 10, 2014 16:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายไพโรจน์ เหลืองเถลิงพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ไอร่า เปิดเผยว่า บริษัทเซ็นสัญญาบันทึกข้อตกลง(MOU)ความร่วมมือกับ EUGENE Investment & Securities Company Limited (EUGENE)จากเกาหลี ซึ่งเป็นการเริ่มต้นขยายธุรกรรมต่างประเทศ โดยบริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกรรมต่างประเทศเป็น 20-30% ภายในเวลา 5 ปี(ปี 58-62) จากปัจจุบันอยู่ที่ 2-3% เชื่อว่าจะเห็นความชัดเจนตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ทั้งดีลควบรวมกิจการ(M&A) และการนำบริษัทจากเกาหลีเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งนี้ มองโอกาสความเป็นไปได้ในธุรกิจเครื่องสำอางและบันเทิงที่เป็นที่รู้จักของคนไทยอยู่แล้ว ทำให้มีความเข้าใจต่อธุรกิจได้ง่าย

นอกจากนั้น บริษัทยังคาดว่าส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจหลักทรัพย์ปี 58 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2% จากปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1.5% ภายใต้คาดการณ์ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันของตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ราว 5 หมื่นล้านบาท จากปีนี้อยู่ที่กว่า 4 หมื่นล้านบาท เนื่องจากมองว่าตลาดหุ้นไทยจะอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยมีปัจจัยบวกในหลายๆด้านเข้ามาสนับสนุน โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐฯที่ช่วยให้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้รายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์ของบริษัทในปีหน้าทำได้สูงกว่าปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 471 ล้านบาท

"ปี 58 เรามั่นใจว่ารายได้จากมากกว่าปีนี้เพราะตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงขาขึ้น เรามองว่ามูลค่าการซื้อขายต่อวันจะมากกว่าปีนี้ สำหรับปีนี้เองช่วงต้นปีเราถูกผลกระทบจากการเมืองทำให้มูลค่าการซื้อขายต่ำไป แต่ครึ่งปีหลังก็ดีขึ้น ทำให้เรายังสามารถรักษารายได้ให้ใกล้เคียงปีก่อน"นายไพโรจน์ กล่าว

ส่วนธุรกิจวาณิชธนกิจนั้น ปัจจุบันบริษัทมีดีลในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในช่วงปี 58 อีกราว 3-4 ดีล และมีดีลควบรวมกิจการ(M&A)อีก 3-4 ดีล โดยมูลค่าธุรกรรมราว 500 ล้านบาท/ดีล

ด้าน Mr. Chang-Su Rue รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EUGENE เปิดเผยว่า บริษัทเป็นบริษัทหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ของประเทศเกาหลีใต้ มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งการร่วมมือกับ บล.ไอร่า ในครั้งนี้จะมีการแลกเปลี่ยนบทวิเคราะห์ การบริหารกองทุน เป็นต้น

ทั้งนี้ บริษัทมองว่าประเทศไทยมีความน่าสนใจในการลงทุนค่อนข้างสูง เนื่องจากเป็นจุดศูนย์กลางของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยเฉพาะในธุรกิจด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาหาร การเกษตร รวมไปถึงการท่องเที่ยว ซึ่งการร่วมมือกันในครั้งนี้จะช่วยให้นักลงทุนและเจ้าของกิจการของทั้ง 2 ประเทศมีช่องทางใหม่ๆในการลงทุนและการระดมทุนมากขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ