(เพิ่มเติม) CBG เคาะราคา IPO ที่ 28 บาท เสนอขาย 12-14 พ.ย.เข้าเทรด 21 พ.ย.

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 11, 2014 17:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย(CBGX ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วมของ บมจ.คาราบาวกรุ๊ป(CBG)เปิดเผยว่า ในวันที่ 11 พ.ย.57 ทางกลุ่มบริษัทได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญสุดท้ายของ CBG (IPO) ที่หุ้นละ 28 บาท จำนวน 250,000,000 หุ้น ซึ่งประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยกลุ่มบริษัทฯ 150,000,000 หุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมอีก 100,000,000 หุ้น ซึ่งเป็นหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Jubilee International Investments Ltd. จำนวน 90,000,100 หุ้น และเสนอขายโดย Northend Investment Ltd. จำนวน 9,999,900 หุ้น

ทั้งนี้ CBG จะกระจายหุ้น IPO ให้กับบุคคลทั่วไป และนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศผ่าน บล.กสิกรไทย และ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย บล.บัวหลวง บล.โนมูระ พัฒนสิน และ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ในฐานะผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย และ CIMB Securities (Singapore) Pte. Ltd. ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายในต่างประเทศ (International Manager)

สำหรับการเสนอขายหุ้น CBG ในครั้งนี้จะเปิดให้ทั้งบุคคลทั่วไปและนักลงทุนสถาบันทำการจองซื้อหุ้นสามัญของกลุ่มบริษัทฯ ในวันที่ 12-14 พ.ย.57 โดยคาดว่า CBG จะสามารถเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2557 ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม

นายสิทธิไชย มหาคุณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และหัวหน้าสายงาน Corporate Finance and Equity Capital Markets ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ราคาเสนอขาย IPO เป็นราคาที่เหมาะสมกับภาวะตลาดในปัจจุบัน โดยกำหนดราคาเสนอขายสุดท้ายจากการนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) กับนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ จากการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์กับนักลงทุนสถาบัน (Bookbuilding)ที่ 26-28 บาทต่อหุ้นนั้น ถือว่าได้รับผลตอบรับที่ดีจากการที่ CBG มี Brand ที่แข็งแกร่งและมีอัตราการเติบโตที่ผ่านมาในระดับที่สูง ผลการสำรวจความสนใจของนักลงทุนสถาบันที่ระดับราคา 28 บาทต่อหุ้น มียอด Bookbuilding เข้ามาสูงถึงประมาณ 10 เท่าสำหรับสัดส่วนของนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ

นายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CBG กล่าวว่า กลุ่มบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าวไปใช้ในการชำระเงินกู้ระยะยาวจากสถาบันการเงินซึ่งเป็นเงินกู้ที่กลุ่มบริษัทฯ ใช้ในการ (1) ขยายกำลังการผลิตเครื่องดื่มของบริษัทย่อย คือ บริษัท คาราบาวตะวันแดง จำกัด (CBD) โดยติดตั้งสายการผลิตความเร็วสูง Krones ซึ่งมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากประเทศเยอรมัน (2) สร้างโรงงานผลิตขวดแก้วสีชาของบริษัท เอเชียแปซิฟิกกลาส จำกัด (APG) และ (3) ลงทุนในที่ดิน และอาคารเพื่อใช้เป็นอาคารสำนักงานใหญ่ของกลุ่มบริษัทฯ ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ มีแผนการตลาดที่จะรุกทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น

“ราคาเสนอขายหุ้นเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานและฐานะทางการเงินของบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง และทางกลุ่มบริษัทฯ คาดว่าหุ้น CBG จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งกลุ่มบริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ ซึ่งคาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งแรงจูงใจที่จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน" นายเสถียร กล่าว

ด้านนางสาวณัฐชไม ถนอมบูรณ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ CBG กล่าวว่า ความสามารถในการทำกำไร และรายได้ของกลุ่มบริษัทฯ ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ ยังมีโอกาสในการขยายตลาดในประเทศ และรุกตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเพิ่มทั้งยอดขายและส่วนแบ่งตลาด ซึ่งถือว่ายังมีสัดส่วนที่สามารถจะขยับเพิ่มขึ้นได้อีก

ขณะที่ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกปี 57 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 5,638.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 523.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 10.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ในปี 56 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 6,929.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,920.7 ล้านบาท หรือคิดเป็น 38.3% จากปี 55 และในปี 55 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวม 5,008.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 699.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 16.2% จากปี 54 ที่กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 4,309.2 ล้านบาท โดยปี 54-56 กลุ่มบริษัทมีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ของรายได้จากการขายประมาณ 26.7%

ความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มบริษัทฯ 9 เดือนแรกปี 57 มีกำไรสุทธิ 736.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 298.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 68.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ในปี 56 มีกำไรสุทธิ 626.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 438.7 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 233.6% จากปี 55 ที่มีกำไรสุทธิ 187.8 ล้านบาท และในปี 54 มีกำไรสุทธิ 204.5 ล้านบาท ดังนั้น ปี 54-56 กลุ่มบริษัทมีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ของกำไรสุทธิประมาณ 75.0%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ