(เพิ่มเติม) CBG ตั้งเป้าปี 58 กำไรพุ่งกว่ายอดขายหลัง รง.ขวดผลิตเต็มที่-เคลียร์หนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 13, 2014 16:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.คาราบาวกรุ๊ป(CBG) เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้าปี 58 โชว์กำไรพุ่งเกินหน้ายอดขายที่คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% โดยได้รับผลดีจากโรงงานผลิตขวดอย่างเต็มที่ทั้งปี หลังจากเริ่มเดินเครื่องกลางปีนี้ ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิต ขณะที่บริษัทจะนำเงินจากการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO)ไปชำระหนี้ เพื่อลดสัดส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E) เฉพาะหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย ลงเหลือ 0 จากเดิมอยู่ที่ 2.2 เท่า

พร้อมกันนั้น บริษัทยังมีแผนรุกขยายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่ม CLMV และตะวันออกกลาง หลังจากที่ครองตลาดเป็นอันดับ 1 ในกัมพูชาและอัฟกานิสถานมานาน ซึ่งจะรอดูปริมาณขายก่อนประเมินโอกาสของการลงทุนตั้งฐานการผลิตใหม่นอกประเทศด้วย โดยคาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่างประเทศขึ้นจาก 30% ในปีนี้ที่เป็นส่วนสำคัญที่เข้ามาชดเชยยอดขายในประเทศที่หดตัวลงเล็กน้อยตามภาพรวมตลาด ทำให้ยอดขายรวมและกำไรในปี 57 ยังเติบโตได้ดี

อนึ่ง CBG เสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO)ที่ราคา 28 บาท/หุ้น จำนวน 250,000,000 หุ้น ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยกลุ่มบริษัทฯ 150,000,000 หุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมอีก 100,000,000 หุ้น ซึ่งเป็นหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Jubilee International Investments Ltd. จำนวน 90,000,100 หุ้น และเสนอขายโดย Northend Investment Ltd. จำนวน 9,999,900 หุ้น

นายเสถียร กล่าวว่า นอกจากชำระคืนหนี้ที่มาจากการขยายกำลังการผลิตเครื่องดื่มในเครือทั้งคาราบาวแดงและเครื่องดื่มเกลือแร่"สตาร์ทพลัส" รวมทั้งสร้างโรงงานผลิตขวดแก้วสีชาแล้ว บริษัทจะนำไปใช้ในเป็นเงินทุนหมุนเวียนและขยายธุรกิจในอนาคตที่มีแผนการตลาดที่จะรุกทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งขณะนี้บริษัทครองส่วนแบ่งตลาดในประเทศเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลัง หรือคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 20% จากมูลค่าตลาดรวมที่สูงถึง 3.6 หมื่นล้านบาท/ปี

ขณะที่ตลาดต่างประเทศได้มีการส่ง"คาราบาวแดง"ไปจำหน่ายในหลายประเทศ โดยมีกัมพูชาเป็นตลาดหลักที่สร้างยอดขายปีละหลัก 1 พันล้านบาท มีอัตราเติบโตสูงถึงปีละ 60-70% ส่วนตลาดสำคัญรองลงมาคือ อัฟกานิสถาน ที่ส่งไปขายเป็นเวลานับ 10 ปีแล้ว สร้างยอดขายเฉลี่ยปีละ 400 ล้านบาท และตลาดเยเมนก็เป็นอีกหนึ่งแห่งที่สร้างยอดขายได้ดี จากนี้ก็จะขยายไปอีกมาก ซึ่งบริษัทจะดูปริมาณขาย(วอลุ่ม)หากมีมากพอก็อาจจะพิจารณาโอกาสลงทุนตั้งฐานผลิตนอกประเทศในอนาคต

"สัดส่วนยอดขายต่างประเทศจะโตขึ้นเรื่อย ๆ เราเน้น CLMV มองไปที่พม่าที่เพิ่งเปิดประเทศใหม่ และเวียดนามที่ผู้ดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังนิยมสินค้าของไทย ขณะที่ในประเทศเราก็เติบโตไปตามขนาดเศรษฐกิจและจำนวนประชากร โดยเฉพาะตลาดแรงงานที่เป็นตลาดหลัก เศรษฐกิจโตขึ้น มีผู้ใช้แรงงานมากขึ้น คนขับรถแท็กซี่ วินมอเตอร์ไซค์ วินรถตู้ก็เพิ่มขึ้น ตอนนี้กลายเป็นเครื่องดื่มจำเป็นของเขาไปแล้ว เหมือนพนักงานออฟฟิศที่มักจะกินกาแฟตอนเช้าๆ"นายเสถียร กล่าว

ช่วง 9 เดือนแรกปี 57 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 5,638.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 523.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 10.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่มีกำไรสุทธิ 736.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 298.9 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 68.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ดังนั้น จึงเชื่อว่ารายได้และกำไรทั้งปี 57 จะเติบโตขึ้นแน่นอน แม้ว่าตลาดในประเทศ ซึ่งปกติกลุ่มบริษัทมีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ของกำไรสุทธิประมาณ 75.0% โดยในปีนี้สามารถรักษาอัตรากำไรชั้นต้นที่ 32% และอัตรากำไรสุทธิที่ 13%

ด้านนางสาวณัฐชไม ถนอมบูรณ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ CBG กล่าวว่า บริษัทมีจุดแข็งอยู่ที่การมีบริษัทจัดจำหน่ายเป็นของตัวเอง ช่วยให้การกระจายสินค้าทำได้ดีมากขึ้น โดยเฉพาะตัวแทนย่อยในระดับอำเภอ จากเดิมที่เคยใช้การบริหารของกลุ่มเสริมสุข นอกจากนั้นการมีโรงงานผลิตขวดของตัวเองช่วยลดต้นทุนการผลิตลงได้มากกว่า 15% ซึ่งเป็นจุดสำคัญ เพราะธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้ เนื่องจากตรึงราคาขายกันมาเป็น 10 ปี

นอกจากนั้น บริษัทยังมีทีมงานด้านการตลาดที่แข็งแกร่ง โดยในปีนี้ใช้เงินราว 400 ล้านบาท ซึ่ง 60% เป็นรายจ่ายของกลุ่มสาวบาวแดงที่จะเข้าไปจัดกิจกรรมการตลาดในจุดต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงตัวลูกค้าได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เป็นการตลาดอีกแนวทางหนึ่งเพิ่มจากในอดีตที่เคยพึ่งพาวงดนตรีคาราบาวเท่านั้น จึงเป็นแนวทางด้านการตลาดที่ใช่ได้ผลสำเร็จค่อนข้างมาก และขณะนี้บริษัทมีพนักงานสาวบาวแดงมากกว่า 500 คนแล้ว

นายเสถียร กล่าวเสริมว่า ผู้ถือหุ้นหลักทั้งสามราย คือ ตนเอง น.ส.ณัฐชไม และ แอ๊ด คาราบาว ยังคงถือหุ้นใหญ่หลังจากการเสนอขาย IPO และไม่มีแผนที่จะขายออก เพราะเป็นกิจการที่ได้ร่วมเริ่มด้วยกันมาตั้งแต่ต้น จึงเป็นธุรกิจที่มีความชำนาญ และรู้ทุกอย่างในบริษัทอย่างทะลุปรุโปร่ง ดังนั้น เรื่องเงินจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดแล้ว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ