และบริษัท ซินโค่ ลิฟวิ่ง จำกัด เป็นอีกหนึ่งธุรกิจออกแบบและจำหน่ายอุปกรณ์ทำสวนภายใต้ตราสินค้า"DOGO" ซึ่งเป็นอุปกรณ์ทำสวนของผู้ใหญ่และเด็ก ได้แก่ บัวรดน้ำเด็ก กระถางและถาด อุปกรณ์ทำสวนเด็กจัดชุด ผ้ากันเปื้อนเด็ก ตลอดจนเมล็ดพันธุ์ผักและดอกไม้ และนำเข้าและจัดจำหน่ายรองเท้าวิ่งแบรนด์"VIVOBAREFOOT"และ"SKORA" ซึ่งเป็นรองเท้าที่คิดค้นและออกแบบในด้านการสวมใส่เสมือนไม่ใส่รองเท้า(Barefoot Shoes)โดยบริษัทร่วมทุน เค เอสเอ็มอี จำกัด เข้าร่วมลงทุนในบริษัท ซินโค่ ลิฟวิ่ง จำกัด เป็นเงิน 4 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้น 31.01%
อย่างไรก็ตาม บลท.ข้าวกล้า มีนโยบายที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการบริหารงานประจำวัน แต่จะพิจารณาช่วยเหลือในฐานะพันธมิตรทางการเงิน เพื่อให้ลูกค้าได้ประโยชน์สูงสุด ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าเจ้าของกิจการจะมีอิสระในการบริหารงานได้อย่างเต็มที่ ซึ่งธนาคารเชื่อมั่นว่าการร่วมทุนกับเอสเอ็มอีทั้ง 2 ราย เป็นการสานต่อนโยบายในเรื่องการสนับสนุนการขยายธุรกิจและสร้างความแข็งแกร่งด้านเงินทุนให้แก่เอสเอ็มอี ตามเป้าหมายของธนาคารในการดูแลลูกค้าในระยะยาว ตามสโลแกน “K SME ช่วยเต็มที่ SME มีแต่ได้"
นายพิภวัตว์ กล่าวว่า ธนาคารมั่นใจสินเชื่อเอสเอ็มอีในปีนี้จะเติบโตใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ 9-11% หลังจากแนวโน้มในครึ่งปีหลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้น แม้ว่าจะไม่ดีมากนัก แต่ก็ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเริ่มกลับมาลงทุนเพิ่มเติม และคาดหวังว่าปีหน้าธุรกิจเอสเอ็มอีจะเติบโตได้ดีขึ้น โดยได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินลงทุนของภาครัฐที่จะช่วยให้ผลักดันเศรษฐกิจไทยขยายตัวมากขึ้น ประเมินว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 58 จะเพิ่มเป็น 4-5%
สำหรับระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของสินเชื่อเอสเอ็มอี ณ สิ้นเดือน ก.ย.57 อยู่ที่ระดับ 2.44% ต่ำกว่าที่บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 2.66% เนื่องจากลูกค้ามีคุณภาพที่ดี และธนาคารมีการบริหารจัดการหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านนางสาวปฐมาพร ไชยกูล กรรมการผู้จัดการ บลท.ข้าวกล้า เปิดเผยว่า บลท.ข้าวกล้าก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2550 ดำเนินธุรกิจเป็นผู้บริหารจัดการเงินร่วมลงทุน ให้บริษัท ร่วมทุน เค-เอสเอ็มอี จำกัด ด้วยนโยบายที่ต้องการเป็นแหล่งเงินทุนให้กับผู้ประกอบการนอกเหนือจากการขอสินเชื่อ โดยผู้ประกอบการจะได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนเพื่อขยายกิจการ และการให้คำปรึกษาในการดำเนินธุรกิจในฐานะ Financial partner โดยปัจจุบัน บลท.ข้าวกล้า ได้พิจารณาเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจเอสเอ็มอีแล้วทั้งสิ้น 19 ราย รวมเป็นเงินลงทุนกว่า 430 ล้านบาท
สำหรับทิศทางการลงทุนในอนาคตจะยังคงสนับสนุนเอสเอ็มอีซึ่งเป็นลูกค้าสินเชื่อของธนาคารเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนให้กับผู้ประกอบการ โดยมุ่งลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตเพื่อให้ก่อเกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับเอสเอ็มอี ทั้งนี้ ได้กำหนดนโยบายร่วมลงทุนในเอสเอ็มอีแต่ละบริษัทในสัดส่วนไม่เกิน 50% ของทุนจดทะเบียนภายหลังการร่วมทุน ระยะเวลาการร่วมทุน 3-5 ปี โดยจะให้อิสระในการบริหารกิจการแก่เจ้าของบริษัทและมีนโยบายกระจายความเสี่ยงในการลงทุน โดยจะลงทุนในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งไม่เกิน 1 ใน 3 ของเงินทุนทั้งหมด