นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ mai เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 108 บริษัท จาก 109 บริษัท (1 บริษัทยังไม่ส่งงบการเงิน ) นำส่งงบการเงินไตรมาส 3/57 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 ก.ย.57 มียอดขายอยู่ที่ 30,418 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.33% ต้นทุนขายเพิ่มขึ้น 7.67% ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 20.92% เพิ่มขึ้นจาก 20.44% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่กำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 1,369 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 160.64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งในไตรมาส 3/57 มี บจ.ที่มีกำไรสุทธิจำนวน 77 บริษัท คิดเป็น 71% ของ บจ.ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
“ผลการดำเนินงานของ บจ.mai ในไตรมาส 3 หากมองตามกลุ่มอุตสาหกรรมพบว่า มี 3 กลุ่มอุตสาหกรรม ที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นได้แก่ กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ตามลำดับ"นายประพันธ์ กล่าว
จากการสำรวจผลการดำเนินงานของ บจ.ในตลาดหลักทรัพย์ mai ในไตรมาส 3/57 พบว่า 5 บริษัทที่มีกำไรสุทธิสูงสุดในไตรมาสนี้ ได้แก่ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) มีกำไรสุทธิ 373 ล้านบาท บมจ.บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป (BROOK) มีกำไรสุทธิ 182 ล้านบาท บมจ.ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ (TSE) มีกำไรสุทธิ 112 ล้านบาท บมจ.อี ฟอร์ แอล เอม (EFORL) มีกำไรสุทธิ 85 ล้านบาท และ บมจ.อินเตอร์เนชั่นแนล รีเสริช คอร์ปอเรชั่น (IRCP) มีกำไรสุทธิ 79 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 57 บจ.mai มียอดขาย 90,997 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 8.76% ในขณะที่ต้นทุนขายโดยรวมเพิ่มขึ้น 8.68% ทำให้ยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้ที่ 20.67% แต่ด้วยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารในระดับที่สูง ทำให้กำไรสุทธิรวมลดลงจาก 4,218 ล้านบาท เหลือ 4,193 ล้านบาท ลดลงประมาณ 0.58%
ปัจจุบันมี บจ.ในตลาดหลักทรัพย์ mai 109 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 18 พ.ย.57 ) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 747.60 จุด เพิ่มขึ้น 109.53% จากต้นปี มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) อยู่ที่ 386,524 ล้านบาท มูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 3,602 ล้านบาทต่อวัน โดยในวันทำการแรกของเดือน ม.ค.58 mai จะนำหลักทรัพย์จัดแยกเป็นกลุ่มอุตสาหกรรม (Industry group)8 กลุ่ม ตามลักษณะการประกอบธุรกิจ