ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้นในปี 58 บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการแนวราบ รังสิต-คลองสาม มูลค่าโครงการประมาณ 700 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เป็น 7-9% ในช่วงปี 59-60 จากปัจจุบันอยู่ที่ 5%
นายปสันน สวัสดิ์บุรี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจใหม่และวางแผนกลยุทธ์ NWR เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ารายได้ในปี 58 จะเติบโตอย่างน้อย 8% จากปีนี้ เป็นผลจากการรับรู้รายได้จาก backlog ที่ปัจจุบันมีอยู่ 12,846 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ในปีหน้าประมาณ 50% ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ฯ ในปีต่อไป
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าผลประกอบการในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 6,955.69 ล้านบาท และยังมีผลขาดทุนสุทธิ เนื่องจากบริษัทลูก ที่ทำธุรกิจบำบัดน้ำเสียและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังไม่สามารถสร้างกำไรให้กับบริษัทได้
"เรามองว่าปีหน้ารายได้น่าจะเติบโตอย่างน้อย 8% จากปีนี้ จากโครงการภาครัฐที่จะมีออกมา ซึ่งหากออกมาจำนวนมากรายได้ก็อาจจะเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักได้ ขณะที่ปีนี้รายได้น่าจะต่ำกว่าปีก่อน และก็คงมีผลขาดทุนสุทธิ จากบริษัทลูกยังไม่สมารถสร้างผลกำไรให้กับบริษัทได้"นายปสันน กล่าว
นายปสันน กล่าวอีกว่า บริษัทคาดว่าในปีหน้าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะมีสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น 5% จากการโอนโครงการให้กับลูกค้ากว่า 800 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการอิสระ ลาดพร้าวจะรับรู้รายได้ราว 50 ล้านบาท, โครงการอิซซี่ คอนโด สุขสวัสดิ์ จะรับรู้รายได้ 460 ล้านบาท, โครงการวิลล่าบารนี รังสิต คลอง 3 จะรับรู้รายได้ 336 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทเตรียมเปิดขายโครงการบารานี พาร์ค ร่มเกล้า อย่างเป็นทางการ มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท รวมถึงยังมีแผนเปิดโครงการแนวราบ มูลค่า 700 ล้านบาท ในทำเลรังสิต คลอง 3 อีกด้วย
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็น 7-9% ในปี 59-60 เนื่องจากมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit margin) อยู่ที่ประมาณ 20-25% สูงกว่าธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง
ส่วนธุรกิจรับเหมาก่อสร้างนั้น บริษัทได้ยื่นประมูลงานใหม่ราว 10 โครงการ มูลค่ารวม 8,160 ล้านบาท คาดหวังจะได้รับงาน 20-25% ของมูลค่าทั้งหมด ซึ่งเป็นงานของภาคเอกชน แบ่งเป็น งานก่อสร้างโรงไฟฟ้า มูลค่า 1,500 ล้านบาท, งานก่อสร้างอาคารสำนักงาน มูลค่า 1,000 ล้านบาท, งานก่อสร้างคอนโดมิเนียม มูลค่า 500 ล้านบาท, งานก่อสร้างศูนย์การค้าขนาดใหญ่ มูลค่า 3,000 ล้านบาท, งานก่อสร้างโรงงานเครื่องดื่ม มูลค่า 650 ล้านบาท และโครงการขนาดเล็กที่มีมูลค่าตั้งแต่ 150 ล้านบาทขึ้นไป