และมีความมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง ในฐานะผู้นำตลาดเบอร์หนึ่งสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ของเมืองไทย ที่มีความเชี่ยวชาญในการปล่อยสินเชื่อทะเบียนรถ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินเชื่อทะเบียนรถจักรยานยนต์ ปัจจุบัน มีฐานลูกค้ากว่า 7 แสนบัญชี อีกทั้งยังมีการบริหารจัดการความเสี่ยงจากการปล่อยกู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเห็นได้จากสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับภาพรวมอุตสาหกรรม
“แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวจากปัญหาการเมืองในช่วงที่ผ่านมา แต่ผลประกอบการของ MTLS ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 57 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 1,348.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 19.14% มีกำไรสุทธิ 397.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 77.15% โดย ณ วันที่ 30 ก.ย. 57 บริษัทมีเงินให้สินเชื่อที่หยุดรับรู้รายได้(NPL)ต่อสินเชื่อรวม 1.64% และหนี้สูญต่อสินเชื่อรวม 0.08% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทยังสามารถรักษาอัตราส่วนทั้งสองได้ในระดับต่ำ และสะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการลูกหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นายชูชาติ กล่าว
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ MTLS เตรียมนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและใช้ในการปล่อยสินเชื่อ รองรับแผนการเติบโตของธุรกิจในอนาคต ซึ่งเตรียมขยายสาขาเพิ่มเป็น 1,000 สาขา และคาดว่ายอดปล่อยสินเชื่อจะแตะ 25,000 ล้านบาท ในปี 60 เนื่องจากแนวโน้มสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก เพราะฐานลูกค้าส่วนใหญ่ของ MTLS เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีฐานรายได้ในระดับปานกลาง ที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อของระบบสถาบันการเงินได้ ทำให้เห็นถึงแนวโน้มตลาดที่ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการลูกหนี้ ภายใต้ “MTL Model" ซึ่งเป็นองค์ความรู้และมีเครื่องมือการบริหารหนี้ ที่ MTLS พัฒนาขึ้นมา จากประสบการณ์การทำธุรกิจที่สั่งสมมากว่า 22 ปี ซึ่งสามารถช่วยลดความเสี่ยงปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ อย่างมีประสิทธิภาพ
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ MTLS กล่าวว่า การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 545 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท ในราคา 5.50 บาทต่อหุ้น โดยจะเสนอขายให้แก่ประชาชนจำนวน 502.50 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทหรือบริษัทย่อยจำนวน 42.50 ล้านหุ้น หุ้นทั้งสองส่วนจะเสนอขายในราคาเดียวกันที่ราคาไอพีโอ ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่มีความเหมาะสม มีส่วนลดให้กับนักลงทุน 29.32% เมื่อเทียบกับอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิเฉลี่ย (P/E Ratio) ย้อนหลัง 3 เดือนของ บมจ.ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979(SAWAD) ซึ่งเป็นจดทะเบียนที่ประกอบธุรกิจใกล้เคียงกับธุรกิจของบริษัท
“การกำหนดราคา IPO ที่ 5.50 บาท/หุ้น ถือว่ามีความเหมาะสม และมีส่วนลดให้กับนักลงทุน 29.32% อีกทั้ง ในช่วงของการทำ Book Building นักลงทุนสถาบันให้การตอบรับดีมาก โดยแสดงความประสงค์จะจองซื้อเกินกว่าจำนวนหุ้นที่จัดสรรถึงกว่า 8 เท่า เมื่อผนวกกับปัจจัยสนับสนุนหลายๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นความเป็นผู้นำในธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถจักรยานยนต์ระดับประเทศ หรือพูดอีกนัยหนึ่ง MTLS ถือเป็นเจ้าตลาดสินเชื่อไมโครไฟแนนซ์ของเมืองไทย มีฐานลูกค้าจำนวนมากกว่า 700,000 บัญชี อัตราการเติบโตที่โดดเด่นอย่างมากทั้งในแง่ของการปล่อยสินเชื่อ รายได้ และกำไรสุทธิ รวมถึงศักยภาพในการขยายตัวได้อีกมากในอนาคต
ขณะที่เอ็นพีแอลอยู่ระดับต่ำเพียง 1.64% เท่านั้น ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าระบบอุตสาหกรรม อีกทั้งบริษัทมีอัตราการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเอ็นพีแอล (Coverage Ratio) สูงถึงกว่า 280% ซึ่งถือว่ามีความแข็งแกร่งอย่างมาก จากปัจจัยดังกล่าวทำให้เชื่อมั่นว่าหุ้นของ MTLS จะเข้ามาช่วยสร้างสีสันให้กับตลาดหลักทรัพย์ฯ และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน" นายสมภพ กล่าว
ทั้งนี้ ระหว่างการโรดโชว์เพื่อนำเสนอข้อมูล MTLS ให้กับนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันในช่วงที่ผ่านมา กระแสตอบรับดีมาก เพราะนักลงทุนมั่นใจปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง และมีโอกาสขยายตัวต่อเนื่อง และด้วยประสบการณ์การดำเนินธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถจักยานยนต์มายาวนานกว่า 22 ปี การควบคุมและติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ ทำให้มั่นใจว่าการเข้าเทรดจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน และไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง
ณ วันที่ 16 พ.ค.57 MTLS มีทุนจดทะเบียน 2,120 ล้านบาท และมีทุนที่ชำระแล้วจำนวน 1,575 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 1,575 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (ราคาพาร์) หุ้นละ 1 บาท ภายหลังการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนในครั้งนี้ บริษัทจะมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 2,120 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,120 ล้านหุ้น