นอกจากนี้ยังจะมีการทำการส่งเสริมการขายต่างๆเพื่อดึงดูดให้ลูกค้ามีการซื้อสินค้าเพิ่มมากขึ้น และจะเน้นขายกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าสูงที่ให้อัตรากำไรดี ด้วยการเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน เพื่อช่วยให้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทในปีหน้าจะกลับมาสู่ภาวะปกติที่ระดับ 4-5% หลังจากปีนี้ลดลงไปอยู่ที่ 2% เนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองและภาวะเศรษฐกิจ
“ปีหน้า Net Profit Magin ก็คาดว่าจะกลับมาสู่ภาวะปกติที่ระดับ 4-5% จากสิ้นปีนี้เราคาดว่าจะอยู่ที่ 2% เพราะเจอการเมืองไม่สงบและเศรษฐกิจไม่ดี ประกอบกับไตรมาส 3 เราขาดทุน 2.98 ล้านบาท เพราะเราไปเน้นทำโปรโมชั่นสินค้าที่ล้าสมัยและเกือบล้าสมัยเพื่อระบายสต๊อก แต่ไตรมาส 4 นี้เราคาดว่าจะกลับมามีกำไร เพราะการทำโปรโมชั่นเริ่มลดลงแล้ว ระดับสต๊อกเรามาอยู่ในภาวะที่บริหารจัดการได้"นายทรงพล กล่าว
ทั้งนี้ งบการเงินรวมในไตรมาส 3/57 บริษัทขาดทุน 2.98 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 9.95 บาท ส่วนงบการเงินรวมในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 28.79 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 50.68 ล้านบาท
นายทรงพล กล่าวว่า ผลประกอลการในไตรมาส 4/57 มีแนวโน้มออกมาดีขึ้นกว่าไตรมาสที่ผ่านมา หลังจากที่บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ในการดำเนินงานใหม่ โดยพยายามลดต้นทุนการขายสินค้าและบริการ ขณะเดียวกันยังคาดว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคน่าจะฟื้นและกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งทำให้บริษัทไม่ต้องทำโปรโมชั่น จัดรายการส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นยอดขายเหมือนกับช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
ดังนั้น บริษัทคาดว่ารายได้ในปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายคือทะลุ 2,500 ล้านบาท จากปี 56 ที่มีรายได้ 2,231.25 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรสุทธิใกล้เคียงกับปีก่อนเล็กน้อยจากสถานการณ์จอดำเกือบ 30 วัน ในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา และความไม่ชัดเจนในการเรียงช่องของทีวีดิจิตอล โดยในปีนี้บริษัทจะมีร้านค้าปลีกเพิ่มขึ้นจาก 77 สาขาเป็น 83 สาขา ทำให้การจำหน่ายสินค้าครอบคลุมพื้นที่และการจัดส่งสินค้ามีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในปีหน้ามองว่ายังมีปัจจัยที่กดดันในด้านกำลังซื้อของประชาชนที่ยังมีการฟื้นตัวขึ้นได้ค่อนข้างช้า เนื่องจากหนี้ภาคครัวเรือนอยู่ในระดับสูงและต้นทุนการดำรงชีวิตปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม ฐานลูกค้าเดิมของบริษัทถือว่ามีกำลังซื้อที่สามารถจับจ่ายสินค้าได้ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบเล็กน้อย
นายทรงพล เปิดเผยว่า การเข้าซื้อกิจการในประเทศ 1 แห่งที่บริษัทได้มีการเจรจาอยู่นั้นได้มีการเลื่อนการสรุปผลออกไปเป็นช่วงไตรมาส 2/57 จากเดิมที่คาดว่าจะมีความชัดเจนออกมาภายในปีนี้ เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองและจังหวะของเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยต่อการทำการเข้าซื้อกิจการ แม้ว่าบริษัทจะมีความพร้อมในด้านเงินทุนที่มีรองรับอยู่กว่า 400 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังได้มีการเจรจากับพันธมิตรญี่ปุ่นที่สนใจเข้ามาถือหุ้นของบริษัทอยู่ 3-4 ราย ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าพันธมิตรที่เข้ามานั้นจะสามารถเสริมสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับบริษัทได้อย่างไร ประกอบกับพันธมิตรจากญี่ปุ่นเดิม คือ อิโตชู-ฟูจิมีเดีย โฮลดิ้งส์ ที่ถือหุ้นบริษัทอยู่ 4.86% ก็สนใจจะเพิ่มสัดส่วนหุ้น คาดว่าในปีหน้าอาจจะมีการขายหุ้น TVD ให้กับพันธมิตรอย่างน้อย 1 ราย