ผลจากการระดมทุนในครั้งนี้จะทำให้แกรมมี่ได้รับเงินสดทั้งสิ้น 2,479 ล้านบาท และเป็นการขยายฐานนักลงทุนของบริษัท เพิ่มสัดส่วน Free Float เสริมสภาพคล่องของหลักทรัพย์ อีกทั้งช่วยให้บริษัทดำรงอัตราส่วนทางการเงินให้อยุ่ในระดับที่เหมาะสม จากการลดสัดส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (Interest-Bearing Debt to Equity) ลงจากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3.19 เหลือ 0.9 - 1.4 เท่า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกำไรในอนาคต
ขณะที่นักวิเคราะห์มีมุมมองเชิงบวกต่อการเพิ่มทุนในครั้งนี้เช่นเดียวกัน ระบุแกรมมี่ถือเป็นหุ้นเทิร์นอะราวด์ที่น่าเข้าลงทุน มีแนวโน้มดีขึ้นในอนาคต โดยมีทิศทางราคาเป้าหมายใหม่ปรับเพิ่มขึ้นกว่าเดิม เบื้องต้นประเมินว่าในปี 59 คาดว่าจะกลับมาพลิกมีกำไร รวมทั้งยังมีแนวคิดที่จะจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นหลังจากนั้นอีกด้วย
"นับเป็นก้าวแห่งความสำเร็จทางธุรกิจที่สำคัญอีกครั้งหนึ่งของแกรมมี่ ภายใต้แผนการเพิ่มทุนเพื่อหนุนยุทธศาสตร์การขึ้นแท่นผู้นำสื่อและผลงานบันเทิงครบวงจรที่สุดในเมืองไทย ด้วยการเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจให้แข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืน มั่นใจว่าประโยชน์ที่บริษัทจะพึงได้รับจากการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้จะเป็นการพัฒนาครั้งสำคัญของแกรมมี่ ทำให้บริษัทมีฐานะทางการเงินที่เข้มแข็งขึ้น ช่วยลดระดับหนี้โดยรวมของบริษัท และเสริมเงินลงทุนสำหรับขยายธุรกิจดิจิทัลทีวี ตลอดจนทำให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินงานในอนาคต อันจะนำไปสู่การพลิกโฉมเป็นองค์กรที่สร้างกำไร พร้อมก้าวสู่การแข่งขันระดับภูมิภาค ซึ่งในที่สุดแล้วทั้งผู้ถือหุ้นและลูกค้า จะเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากแผนการเพิ่มทุนในครั้งนี้อย่างเต็มที่"นงส.บุษบา กล่าว
ทั้งนี้ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2557 ได้มีมติอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท เป็นจำนวนหุ้นสามัญ 183.63 ล้านหุ้น (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท) โดยแบ่งเป็นหุ้นเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวนไม่เกิน 63.63 ล้านหุ้น เพื่อเสนอขายและจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) และหุ้นส่วนที่เหลือจะทำการจัดสรรและเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนเฉพาะเจาะจง (Private Placement) ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนสถาบันทั้งไทยและต่างประเทศ ได้มีสิทธิในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในก้าวสำคัญของแกรมมี่ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในครั้งนี้
น.ส.บุษบา กล่าวว่า ระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา แกรมมี่มีพัฒนาการและประสบความสำเร็จในธุรกิจหลายๆ ด้าน ทั้งการขยายธุรกิจแพลตฟอร์มทีวีดาวเทียม โฮมช็อปปิ้ง รวมทั้งการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญด้วยการรุกเข้าสู่ดิจิทัลทีวี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงยุทธศาสตร์การสร้างมูลค่าเพิ่มจากคอนเท้นต์ การต่อยอดพลิกฟื้นธุรกิจเพลงแบบครบวงจร ตลอดจนความชัดเจนของการเป็นผู้นำในตลาดสื่อและบันเทิงชั้นนำของประเทศไทย
ขณะที่ภายหลังการเพิ่มทุนเสร็จสิ้น บริษัทจะเดินหน้าตามแผนธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ โดยมุ่งเน้นทางด้านธุรกิจหลัก (Core Business) ซึ่งได้แก่ ธุรกิจดนตรี และธุรกิจดิจิทัลทีวีทั้งสองช่อง โดยหลังจากการปรับโครงสร้างทางธุรกิจเพย์ทีวีในไตรมาส 3 ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่าไตรมาสก่อนถึงร้อยละ 82 ทั้งนี้บริษัทเชื่อมั่นว่า แผนธุรกิจในระยะกลางและระยะยาวนับจากนี้ไป จะทยอยส่งผลให้กำไรของบริษัทปรับเพิ่มดีขึ้นอีกอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม