บริษัทประเมินว่าในปีหน้าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และนาฟทา(สเปรด)จะสูงเฉลี่ยที่ 700 กว่าเหรียญ/ตัน จากไตรมาส 4/57 สเปรดอยู่ที่ประมาณกว่า 800 เหรียญ/ตัน โดย ณ ปัจจุบัน สเปรดเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีน(PE)อยู่ที่ 830 เหรียญ/ตัน และสเปรดเม็ดพลาสติกโพลีโพรพิลีน (PP) อยู่ที่กว่า 830 เหรียญ/ตัน สูงกว่าไตรมาส 3/57 ที่อยู่ในระดับเฉลี่ยกว่า 600 เหรียญ/ตัน
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าในไตรมาส 4/57 จะมีผลขาดทุนจากสต็อก(stock loss)ประมาณ 700 ล้านบาท โดยขณะนี้พยายามผลิตและออกจำหน่ายให้เร็วที่สุดเพื่อลดจำนวนสินค้าคงคลัง(inventory)ให้ไปมากที่สุด ประกอบกับ สเปรดที่สูงขึ้นน่าจะทำให้กำไรในไตรมาสนี้ดีกว่าไตรมาส 3/57 ที่มีกำไรสุทธิ 7,846 ล้านบาท
"น้ำมันราคาลงไปเร็วมากทำให้สเปรด หรือมาร์จิ้นดีค่อนข้างมาก...แต่ก็มี stock loss ซึ่งไม่น่าจะเยอะ ประมาณ 700 ล้านบาท ในไตรมาส 4 แต่ bottom line ดีเป็นบวกแม้ว่าจะเจอ stock loss"นายกานต์ กล่าว
นายกานต์ ยังกล่าวอีกว่า การที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงไปมากในขณะนี้ ยังส่งผลดีต่อต้นทุนโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ในเวียดนามที่เดิมคาดไว้ราว 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะมีการสรุปมูลค่าการลงทุนในเดือนมี.ค.58 นอกจากนั้น โครงการดังกล่าวใช้แนฟทาเป็นวัตถุดิบหลัก ซึ่งปัจจุบันราคานาฟทาปรับตัวลงตามราคาน้ำมันดิบ และ โครงการยังมีความยืดหยุ่นสามารถใช้ก๊าซ LNG แทนได้ด้วย ซึ่งจะได้รับประโยชน์ในช่วงหน้าร้อนที่ปกติราคาก๊าซจะปรับลดลง
นอกจากนี้ หลายโครงการปิโตรเคมีในสหรัฐฯที่ใช้ก๊าซเป็นวัตถุดิบได้ชะลอออกไป เพราะราคาก๊าซไม่ได้ถูกเมื่อเทียบกับราคานาฟทาในปัจจุบันที่ปรับตัวลง
"มีแนวโน้มราคาโครงการปิโตรคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม มีราคาดี เพราะนาฟทาราคาลดลง"นายกานต์กล่าว
นายกานต์ กล่าวว่า การที่ราคาน้ำมันดิบลดลง ยังทำให้ค่าครองชีพโดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อในประเทศที่บริษัทเข้าไปลงทุน ได้แก่ เวียดนาม และอินโดนีเซีย ไม่สูง ช่วยเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภค ส่งผลให้ยอดขายของกลุ่ม SCC ในประเทศเหล่านี้ดีขึ้น ขณะที่ไทยก็เริ่มเห็นการฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังเดือน พ.ย.นี้ ทั้งนี้ SCC ประเมินว่า ราคาน้ำมันดิบในปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 95 เหรียญ/บาร์เรล จากที่เคยคาดไว้ที่ 100 เหรียญ/บาร์เรล แต่ยังต้องรอดูสถานการณ์อีกครั้ง อาจจะปรับคาดการณ์ราคาน้ำมันลงอีก ก่อนที่จะนำเสนอแผนธุรกิจปีหน้าให้กับคณะกรรมการบริษัทได้พิจารณาในช่วงกลางเดือน ธ.ค.นี้