ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ยังได้เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนต่อเนื่องให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้แบบที่มีกำหนดอายุโครงการ (Fixed Term Fund) ซึ่งเมื่อกองทุนครบกำหนดอายุโครงการ บริษัทจัดการจะนำเงินค่าขายคืนอัตโนมัติไปซื้อหน่วยลงทุนที่ผู้ลงทุนเลือกได้กองทุนใดกองทุนหนึ่งใน 3 กองทุน คือ กองทุนเปิดเค ตลาดเงิน (K-MONEY) กองทุนเปิดเค ตราสารรัฐระยะสั้น (K-TREASURY) หรือกองทุนเปิดเค เอ็มพลัส (K-MPLUS) ซึ่งอยู่ในกลุ่มกองทุนรวมตราสารหนี้ของบลจ.กสิกรไทย เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ด้านสถานการณ์ตลาดตราสารหนี้ในประเทศ นายนาวินกล่าวว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาพันธบัตรปรับตัวขึ้นเล็กน้อย ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวลงทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 5 ปี ปรับตัวลง 0.02% ปิดที่ 2.44% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ปรับลดลง 0.01% ปิดที่ 3.00%
ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้เปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจในเดือนตุลาคม ซึ่งปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนจากเดือนก่อนหน้า ทั้งด้านการบริโภคภาคเอกชน การท่องเที่ยว รวมถึงการส่งออกในเดือนตุลาคมที่ขยายตัวสูงสุดในรอบ 21 เดือนที่ระดับ 3.97% จากเดือนก่อนหน้า และขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตร
นอกจากนี้ยังประเมินว่าภาครัฐจะสามารถเร่งการใช้จ่ายได้มากขึ้น แต่ยังคงเป็นไปอย่างช้าๆ ซึ่งจะช่วยทำให้เศรษฐกิจในปีหน้า สามารถกลับมาเติบโตได้ที่ระดับปกติจากการลงทุนของภาครัฐเป็นหลัก โดย บลจ.กสิกรไทย ประเมินว่า ทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยยังคงมีแนวโน้มทรงตัว และเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ เช่นเดียวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งคาดว่าจะยังคงที่ ณ ระดับ 2.00% ไปอย่างน้อยจนถึงกลางปี 2558 เพื่อช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้อย่างมีเสถียรภาพ
สำหรับตราสารหนี้ที่กองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ 6 เดือน ซี (KEFI6MC) จะเข้าไปลงทุนในเบื้องต้นประกอบด้วยเงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Akbank T.A.S., ประเทศตุรกี ร่วมด้วยตราสารหนี้ Banco BTG Pactual S.A., ประเทศบราซิล และตราสารหนี้ Yapi Kredi Bankasi A.S., ประเทศตุรกี นอกจากนี้ยังลงทุนในตราสารหนี้ประเทศไทยของธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีสินทรัพย์ในการลงทุนสูงและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยผู้ลงทุนต้องลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำ 1,000,000 บาท
นักลงทุนทั่วไปที่ยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ แต่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าการลงทุนกับตราสารหนี้ภายในประเทศเพียงอย่างเดียว บลจ.กสิกรไทย ขอแนะนำกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 6 เดือน ซีแอล (KFI6MCL) ซึ่งจะลงทุนในเงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Bank of China นอกจากนี้ยังลงทุนในตราสารหนี้ประเทศไทยของธนาคารทิสโก้ และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย รวมทั้งยังลงทุนในตั๋วแลกเงินของบริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด) โดยตราสารที่กล่าวมามีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน ทั้งนี้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท