ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยประจำสัปดาห์: มีมูลค่าการซื้อขายรวม 333,418 ลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday December 1, 2014 17:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ประจำสัปดาห์ (24 – 28 พฤศจิกายน 2557) ปริมาณการซื้อขายตราสารหนี้ มีมูลค่ารวม 333,418 ล้านบาท หรือเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณวันละ 66,684 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าประมาณ 0.5% ทั้งนี้เมื่อแยกตามประเภทของตราสารแล้วจะพบว่ากว่า 66% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด หรือประมาณ 218,823 ล้านบาท เป็นการซื้อขายในตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (State Agency Bond) ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นตราสารที่มีอายุคงเหลือค่อนข้างน้อย (ไม่เกิน 6 เดือน) ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลที่ออกโดยกระทรวงการคลัง (Government Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 83,661 ล้านบาท และหุ้นกู้ที่ออกโดยภาคเอกชน (Corporate Bond) มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 5,805 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25% และ 2% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ตามลำดับ

สำหรับพันธบัตรรัฐบาล ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรกคือรุ่น LB196A (อายุ 4.6 ปี) LB21DA (อายุ 7.1 ปี) และ LB236A (อายุ 8.6 ปี) โดยมีมูลค่าการซื้อขายในแต่ละรุ่นเท่ากับ 16,608 ล้านบาท 10,452 ล้านบาท และ 10,157 ล้านบาท ตามลำดับ

ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชน ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หุ้นกู้ของบริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) รุ่น AYCAL154A (A+) มูลค่าการซื้อขาย 534 ล้านบาท หุ้นกู้ของบริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) รุ่น HMPRO159B (A+) มูลค่าการซื้อขาย 407 ล้านบาท และหุ้นกู้ของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด รุ่น TLT174A (AAA) มูลค่าการซื้อขาย 250 ล้านบาท

ราคา (Price) ของพันธบัตรรัฐบาลอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือผู้ซื้อจะได้ผลตอบแทน (Yield) ลดลง ประมาณ 0.01% - 0.05% หากเข้าซื้อพันธบัตรในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ล่าสุด (28 พ.ย. 57) สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ได้ดำเนินธุรกรรม Bond Switching (การแลกเปลี่ยนพันธบัตร โดยเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถนำพันธบัตรรัฐบาลที่ถือครองอยู่มาแลกเปลี่ยนเป็นพันธบัตรรุ่นที่กระทรวงการคลังกำหนด) เพื่อรองรับการบริหารหนี้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงในการปรับโครงสร้างหนี้ และเพิ่มสภาพคล่องในตลาดรอง ซึ่งผลจากการทำธุรกรรมดังกล่าว ทำให้พันธบัตรรัฐบาลรุ่นอายุ 0.5 ปี (LB155A) ถูกนำมาแลกเป็นพันธบัตรรุ่นใหม่จำนวน 4 รุ่น (อายุ 2.7 ปี, 4.3 ปี, 7.2 ปี และ 23.2 ปี) โดยมีมูลค่ารวมกันทั้งสิ้นประมาณ 76,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ โดยล่าสุด ประเทศจีนได้ประกาศลดดอกเบี้ยเงินฝาก 1 ปีและดอกเบี้ยเงินกู้ 1 ปี เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว นอกจากนี้แล้ว ที่ประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) มีมติไม่ลดระดับการผลิตน้ำมัน โดยจะคงเพดานการผลิตไว้ที่ 30 ล้านบาร์เรลต่อวัน แม้ว่าปัจจุบันราคาน้ำมันในตลาดโลกกำลังอยู่ในช่วงปรับตัวลดลงก็ตาม ผลของการประชุมดังกล่าวส่งผลให้ราคาน้ำมันในอนาคตมีโอกาสลดลงได้อีก และเพิ่มความเสี่ยงของการเข้าสู่ภาวะเงินฝืดในหลายๆประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มสหภาพยุโรปที่เริ่มเห็นสัญญาณของการเข้าสู่ภาวะเงินฝืดบ้างแล้ว และด้วยสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าทิศทางดอกเบี้ยในประเทศไทยน่าจะยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องไปอีกซักระยะ และมีส่วนทำให้ Yield ของพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลดลงตามไปด้วย

ทั้งนี้ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (24 – 28 พ.ย. 57) เงินต่างชาติยังคงไหลเข้าสู่ตราสารหนี้ระยะยาว (อายุคงเหลือ > 1 ปี) อีก 392 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ