สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA)สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย ( 1 ธ.ค. 57) มีมูลค่าการซื้อขายรวม 56,709 ล้านบาท โดยประเภทของตราสารที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด คือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 33,743 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 59.5% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ ลำดับถัดมาคือ พันธบัตรรัฐบาล มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 12,415 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 21.9% ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 930 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.6% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด
สำหรับ พันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุดในวันนี้คือ พันธบัตรรุ่น LB176A, LB196A และ LB296A (รุ่นอายุ 2.5 ปี, 4.5 ปี และ 14.5 ปี ตามลำดับ) โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 6,582 ล้านบาท หรือคิดเป็น 53% ของมูลค่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมด ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. หุ้นกู้บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)(CPF185A) มูลค่า 165.2 ล้านบาท
2. หุ้นกู้บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)(BGH228A) มูลค่า 96.7 ล้านบาท
3. หุ้นกู้บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน)(MBK207A) มูลค่า 79.4 ล้านบาท
โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 341.3 ล้านบาท หรือคิดเป็น 36.7% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นกู้เอกชนทั้งหมดในวันนี้
ทางด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดเป็น 2 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 9,874 ล้านบาท
2. กลุ่มสถาบันการเงินที่ไม่มีใบอนุญาตเพื่อค้าตราสารหนี้ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 1,996 ล้านบาท
ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 1,058 ล้านบาท
ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 เดือน ปิดที่ 2.02% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน และผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ปิดที่ 2.4% ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน -0.04%
Yield Curve ปรับลดลงในตราสารอายุ 6 เดือนขึ้นไป ประมาณ 1-5 bps. นักลงทุนยังคงติดตามตัวเลขเศรษฐกิจ ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ ประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศ (เงินเฟ้อ) เดือน พ.ย.57 เท่ากับ 107.19 สูงขึ้น 1.26% เมื่อเทียบกับเดือน พ.ย.56 และคาดการณ์ตัวเลขเงินเฟ้อในปี 58 ว่าจะเติบโต 1.8-2.5% ภายใต้สมมุติฐานว่าการขยายตัวเศรษฐกิจของประเทศเติบโต 4-5% ด้านปัจจัยต่างประเทศ ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนในเดือน พ.ย. ลดลงอยู่ที่ 50.3 จาก 50.8 ในเดือน ต.ค. ซึ่งแสดงถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอลง สำหรับนักลงทุนต่างชาติวันนี้มียอดซื้อสุทธิ (NET BUY) เท่ากับ 1,058 ล้านบาท