นอกจากนั้น จากการที่บริษัทเข้าไปซื้อธุรกิจ 2 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจรับจ้างแปรรูปปลาแซลมอน, ธุรกิจปลาซาร์ดีนบรรจุกระป๋องนั้น ก็จะสามารถรับรู้รายได้เข้ามาตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจของบริษัทยังมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องความผันผวนของราคาวัตถุดิบ
นายธีรพงษ์ กล่าวว่าท บริษัทก็ยังมองหาโอกาสเข้าซื้อกิจการหรือควบรวมกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับ 6 กลุ่มธุรกิจของบริษัท ได้แก่ ธุรกิจทูน่า ธุรกิจกุ้ง และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกุ้ง ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ธุรกิจปลาซาดีนและปลาแมคคาเรล และกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม โดยขณะนี้บริษัทมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง และยังมีความสามารถก่อหนี้ได้เพิ่ม เนื่องจากมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net Debt/Equity) อยู่ที่ 0.8 เท่า และคาดว่า ณ สิ้นปี D/E จะลดลงมาอยู่ที่ 0.7 เท่า
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 3.5 พันล้านบาทจะใช้ในการปรับปรุงเครื่องจักร แต่มองว่าอาจจะใช้เงินลงทุนไม่ถึงจำนวนที่ตั้งไว้ ทำให้บริษัทมีความสามารถในการควบคุมต้นทุนได้ดีและส่งผลดีต่ออัตรากำไรขั้นต้น ซึ่งในปีนี้อัตรากำไรขั้นต้นน่าจะอยู่ที่ระดับ 16-17% และคาดหวังภายใน 5 ปีข้างหน้าอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มเป็น 20%
นายธีรพงศ์ กล่าวว่า หลังคณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้แตกพาร์จาก 1.00 บาทต่อหุ้น เป็น 0.25 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะมีการพิจารณาในวันที่ 24 ธ.ค. 57 นี้ และคาดเริ่มซื้อขายหุ้น TUF บนพาร์ใหม่ได้ในวันที่ 5 ม.ค. 58 ซึ่งจะช่วยดึงนักลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนในธุรกิจมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนไม่ถึง 5%