"ตลท.จะมุ่งไปสู่การพัฒาตลาดทุนอย่างยั่นยืน และจะมุ่งพัฒนาตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ให้เติบโตควบคู่ไปด้วยกัน รวมถึงสร้างความหลากหลายในเรื่องของการซื้อขายในสกุลเงินตราอื่นๆ เช่น สกุลเงินดอลลาร์ เพื่อเปิดกว้างให้แก่นักลงทุนที่ไม่ต้องการความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยน"นายสถิตย์ กล่าว
ขณะเดียวกัน ตลท.ก็จะขยายการเติบโตออกไปยังต่างประเทศ ซึ่งจะมีการสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนไทยที่มีการร่วมทุนกับบริษัทที่อยู่ในกลุ่ม GMS เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น หรือบริษัทในต่างประเทศสามารถเข้ามาจดทะเบียนใน ตลท.ได้โดยตรง ซึ่งน่าจะเป็นการส่งเสริมอีกช่องทางหนึ่งของการเติบโตของ ตลท. คาดว่ากฎเกณฑ์หลักทรัพย์ต่างประเทศน่าจะประกาศได้ช่วงต้นปีหน้า
นอกจากนี้ ตลท.จะดำเนินแนวทางไปสู่การเป็น Digital Exchange เพื่อให้สอดรับกับเป้าหมายของรัฐบาลที่จะก้าวไปสู่การเป็น Digital Economy โดยตลท.อยู่ระหว่างการศึกษาเตรียมความพร้อมเพื่อลดระยะเวลาในการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ให้สามารถดำเนินการได้ภายใน 2 วันทำการ (T+2) จากปัจจุบันอยู่ที่ 3 วันทำการ (T+3) เพื่อก้าวไปสู่ความเป็นมาตรฐานสากล มองว่าน่าจะเห็นความคืบหน้าดังกล่าวได้ในปี 58
ทั้งนี้ ตลท.จะสร้างบรรยากาศการลงทุนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนไทยที่มีศักยภาพให้ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่ ดัชนีความยั่งยืน Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนไทยที่ได้รับการคัดเลือกเข้าไปอยู่ในดัชนี DJSI จำนวน 10 บริษัทได้แก่ PTT, PTTEP, PTTGC, IRCP, CPN, TUF, BANPU, SCC, TOP,MINT
ด้านนางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลท.กล่าวว่า ในปี 57 คาดว่ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market cap) จะอยู่ที่ 15 ล้านล้านบาท มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันน่าจะอยู่ที่ประมาณ 4.4 หมื่นล้านบาท และปริมาณการซื้อขายต่อวันจะอยู่ที่ 1.4 แสนสัญญา
ขณะที่ ตลท.ตั้งเป้าหมายในปี 63 จะมี Market cap เพิ่มเป็น 30 ล้านล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันจะอยู่ที่ 1 แสนล้านบาท และปริมาณการซื้อขายต่อวันที่ 4.5 แสนสัญญา
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการสายงานผู้ออกหลักทรัพย์และจดทะเบียน กล่าวว่า ในปี 57 จะมีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์ mai ทั้งสิ้น 47 หลักทรัพย์ มีการระดมทุน ณ IPO ที่ 3.5 แสนล้านบาท ขณะที่ปี 58 การเข้าระดมของหลักทรัพย์เข้าใหม่ IPO จะลดลงกว่าปีนี้ เนื่องด้วยบริษัทหลายแห่งมีความต้องการเร่งเข้าจดทะเบียนให้เสร็จสิ้นภายในปีนี้