ประกอบกับ บริษัทจะมีรายได้จากธุรกิจโรงพ่นสีเข้ามาประมาณ 100-150 ล้านบาท ขณะนี้มีคำสั่งซื้อเข้ามาค่อนข้างมากแล้วและคาดว่าในปี 59 จะมีรายได้จากธุรกิจโรงพ่นสีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 150-200 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้าภายใน 5-7 ปีจะสามารถใช้กำลังการผลิตได้เต็มที่ ซึ่งน่าจะสร้างรายได้ถึงปีละ 600-800 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนรายได้จากธุรกิจชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับยานยนต์และธุรกิจโรงพ่นสีเพิ่มขึ้นเป็น 20-25% จากปัจจุบันอยู่ที่ 15-17% และจะคุ้มทนภายใน 2 ปี
นอกจากนั้น ในปีหน้าบริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ 200 ล้านบาท เพื่อใช้ซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทนเครื่องจักรเดิม รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต
นายวิวรรธน์ กล่าวถึงผลประกอบการในปีนี้ว่า กำไรสุทธิคงจะต่ำกว่าปีก่อนที่มีกำไร 144.71 ล้านบาท หลังจากช่วง 9 เดือนแรกของปีมีกำไรเพียง 44 ล้านบาท ขณะที่บริษัทปรับลดเป้ารายได้ปีนี้ลงจากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตมากกว่า 10% จากปี 56 ที่มีรายได้ 2.1 พันล้านบาท โดยส่วนหนึ่งมาจากมีภาระค่าใช้จ่ายค่าเสื่อมราคาและเงินเดือนบุคลากรเพื่อเตรียมและทดสอบงานนิวโมเดลของโครงการลงทุนใหม่ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการขึ้นระบบโรงงานพ่นสี และต้นทุนราคาเม็ดพลาสติกที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม บริษัทเชื่อว่ารายได้จะผ่านจุดต่ำสุดแล้วหลังจากได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวจากปัญหาการเมืองในประเทศ และเริ่มทยอยฟื้นตัวหลังจากค่ายรถยนต์ออกโมเดลรถยนต์ใหม่ๆ ออกมา รวมถึงยอดขายบรรจุภัณฑ์นมและนมเปรี้ยวจะเพิ่มขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตของลูกค้าหลังจากการติดตั้งเครื่องจักรเสร็จส่วนหนึ่งในไตรมาส 2 ปีนี้ และมีส่วนต่อขยายในช่วงกลางปีของปีหน้า ทำให้ยอดขายบรรจุภัณฑ์นมและนมเปรี้ยวมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลังของปีหน้า
"ผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และการสถานการณ์ทางการเมืองที่เข้ามากระทบ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการลงทุนเพื่อทำชิ้นส่วนรถยนต์ และราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อรายได้เราในปีนี้ แต่อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าปีนี้ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ซึ่งในปีหน้าจะเป็นปีที่รายจ่ายและรายได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และเชื่อว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะฟื้นตัวในไตรมาส 2 แบบ V Shape ส่วนกำไรในปี 58 คาดว่าจะดีกว่าในปี 56 ที่ทำได้ 144 ล้านบาท"นายวิวรรธน์ กล่าว