นายจันทอน สิดทิไซ รองประธานกรรมการและผู้อำนวยการใหญ่ PTL เปิดเผยว่า บริษัทจะใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ในการขยายสถานีบริการย้ำมัน จำนวน 20 สถานี ลงทุนในการบริหารระบบขนส่งน้ำมัน และใช้เป็นทุนหมุนเวียนเพื่อบริหารการสั่งซื้อน้ำมันจากต่างประเทศ
บริษัท ปิโตรเลียมเทรดดิ้ง ลาว มหาชน (PTL) เป็นผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงผ่านสถานีบริการน้ำมันครบวงจรภายใต้เครื่องหมายการค้า "PLUS" โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 2 ของสปป.ลาว มีผลิตภัณฑ์อยู่ 5 ประเภท คือ น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซินธรรมดา น้ำมันเบนซินพิเศษ น้ำมันเตาและน้ำมันเครื่อง จำหน่ายผ่านสถานีบริการที่มีอยู่กว่า 107 แห่งทั่วสปป.ลาว นอกจากนี้ยังได้จำหน่ายไปยังลูกค้าโครงการ โรงงานอุตสาหกรรม บริษัทขนส่ง และผู้ขายส่งน้ำมัน(Jobber) ในสปป.ลาว
ด้านนายสมภพ ศักดิ์พันธิ์พนม ผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ เอพีเอ็มลาว จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า ช่วงที่เปิดจองซื้อหุ้นไอพีโอ PTL ที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยมีจำนวนผู้จองซื้อหุ้นทั้งสิ้นกว่า 515 ราย ทั้งจากนักลงทุนในสปป.ลาว และต่างประเทศ ทั้งนี้เชื่อว่าการซื้อขายหุ้น PTL ในวันแรกและวันต่อไปจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนเช่นเดียวกัน
ส่วนนายนาริน สิละวงสิด ผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ล้านช้าง ในฐานะผู้รับประกันการจัดหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO) จำนวน 60 ล้านหุ้น ของ บริษัท ปิโตรเลียม เทรดดิ้ง ลาว มหาชน เปิดเผยว่า เชื่อมั่นว่า หุ้น “PTL" จะสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้ในระดับที่น่าพอใจ ทั้งจากธุรกิจที่แข็งแกร่งและได้รับความร่วมมือจากตัวแทนการจัดจำหน่ายหุ้น(Selling Agent) ทั้ง 4 แห่งจากประเทศไทย คือ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ แอพเพิล เวลธ์ จำกัด (มหาชน) ยิ่งจะทำให้หุ้นของ PTL ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพิ่มขึ้น
“การเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ลาวในช่วงนี้ถือว่าอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์ลาวได้ปรับเปลี่ยนระบบการซื้อขายจากการจับคู่เป็นช่วง 30 นาทีต่อครั้ง มาเป็นการจับคู่แบบต่อเนื่อง “วินาทีต่อวินาที(Real-Time)"ทำให้นักลงทุนซื้อขายได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ทำให้ง่ายและสะดวกสำหรับนักลงทุนและธุรกิจพลังงานในสปป.ลาวอยู่ในระหว่างการเติบโตสูงและยิ่งเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปลายปี 2558 จะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เติบโตอย่างก้าวกระโดดอย่างแน่นอน"นายนาริน กล่าว