บริษัทจะได้เงินจากการเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม(RO)และเสนอขายผู้ลงทุนเฉพาะเจาะจง(PP) รวมถึงได้เงินจากการขายหุ้น TNP รวมกว่า 960 ล้านบาท โดยจะนำเงินไปใช้หนี้สถาบันการเงิน 750 ล้านบาทเพื่อลดต้นทุนดอกเบี้ยได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบริษัทจะเหลือหนี้กับสถาบันการเงินเพียง 600 ล้านบาท จากก่อนหน้านี้ที่มีหนี้รวมดอกเบี้ยกว่า 2 พันล้านบาท และอัตราหนี้สินต่อทุน(D/E)จะลดลงเหลือ 3 เท่า จากเดิม 22 เท่า
"เงินที่ได้จากการขาย RO และ PP จะนำไปใช้หนี้แบงก์ประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้บริษัทมีกำไรจากการยกหนี้ส่วนที่เหลือ 350 ล้านบาท ขณะที่เงินได้จากการขายหุ้น TNP จะนำไปใช้หนี้อีก 450 ล้านบาท ทำให้บริษัทบันทึกกำไรในส่วนที่เหลืออีกกว่า 100 ล้านบาท โดยการปรับโครงสร้างหนี้ครั้งนี้จะทำให้เราลดต้นทุนดอกเบี้ยเหลือเพียงราว 40 ล้านบาทต่อปี จากเดิมที่อยู่ระดับกว่า 100 ล้านบาทต่อปี ช่วยให้มาร์จิ้นของบริษัทดีขึ้น"นายสมเกียรติ กล่าว
สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจในปี 58 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตเท่าตัวมาอยู่ที่ 5-6 พันล้านบาท จากปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ 3 พันล้านบาท เนื่องจากบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรผู้ประกอบการเหล็กรายใหญ่จากต่างประเทศเพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ซึ่งจะทำให้บริษัทมีฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น และมีตลาดใหม่ๆ เพิ่มขึ้นด้วย ทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมถังแก๊ส รวมไปถึงอุตสาหกรรมอาหาร ช่วยสร้างรายได้ให้กับบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ คาดว่าต้นปี 58 จะได้ข้อสรุปความร่วมมือดังกล่าวและเริ่มดำเนินงานได้ทันที
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า บริษัทมองทิศทางอุตสาหกรรมเหล็กได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งเชื่อว่าโครงการลงทุนของภาครัฐจะช่วยให้ความต้องการใช้เหล็กกลับมาเติบโตได้อย่างดี
นอกจากนี้ ในเดือน ก.พ.58 เตรียมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทให้ลดทุนจดทะเบียนเพื่อแก้ไขผลขาดทุนสะสมที่มีอยู่ราว 1.33 พันล้านบาท โดยจะทยอยลดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และส่วนผลขาดทุนที่เหลืออยู่คงนำกำไรจากผลการดำเนินงานมาแก้ไขปัญหา ส่วนจะล้างได้หมดเมื่อใดนั้นต้องรอผลว่าการลดทุนจะทำได้มากน้อยแค่ไหน ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 2.4 พันล้านบาท
ด้านนายวิชัย วชิรพงศ์ นักลงทุนรายใหญ่ที่รู้จักกันในนาม"เสี่ยยักษ์"กล่าวว่า การเข้าลงทุนในหุ้น RICH เป็นการถือลงทุนระยะยาว เนื่องจากธุรกิจมีศักยภาพในการเติบโตได้สูงในอนาคต โดยเฉพาะจากแนวโน้มการลงทุนของภาครัฐและเอกชนจะช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจของ RICH เติบโตขึ้น ซึ่งตนเองอยากเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนบริษัท
"หลังจากการเพิ่มทุนแล้วเสร็จ ผมน่าจะถือหุ้นอยู่กว่า 80 ล้านหุ้น โดยยืนยันว่าต้องการเข้ามาลงทุนระยะยาว เพราะธุรกิจมีศักยภาพสูง ซึ่งเติบโตไปกับภาคลงทุนทั้งจากรัฐและเอกชน และขอยืนยันอีกว่าการเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้มิได้มีเจตนาในการทำราคาหุ้นแต่อย่างใด เพราะตั้งใจอยากมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนบริษัทแห่งนี้ให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยคอนเนคชั่นที่ผมมีอยู่สามารถสร้างโอกาสและความร่วมมือทางธุรกิจได้อีกมากในอนาคต"นายวิชัย กล่าว