ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ NOBLE ที่ BBB- แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday December 12, 2014 15:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์(NOBLE) ที่ระดับ “BBB" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทที่ระดับ “BBB-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงแบรนด์ของบริษัทซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงบนตลอดจนกลยุทธ์การสร้างความแตกต่างของสินค้าที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความเสี่ยงที่บริษัทต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากในโครงการคอนโดมิเนียม “โนเบิล เพลินจิต" ซึ่งมีมูลค่าโครงการ 17,000 ล้านบาท รวมไปถึงอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่สูง ลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูง ความกังวลในด้านต้นทุนการพัฒนาโครงการที่ปรับตัวสูงขึ้น และภาวะขาดแคลนแรงงานในกลุ่มผู้รับเหมาด้วย

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถเปิดขายโครงการและส่งมอบที่อยู่อาศัยได้ตามกำหนด ทั้งนี้ คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมสุทธิหลังจากหักเงินสดในมือต่อส่วนทุนจะเพิ่มขึ้น และอาจจะเกินข้อกำหนดทางการเงินของหุ้นกู้ระหว่างปี 2558 – 2559 ทริสเรทติ้ง คาดว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนได้อย่างเหมาะสมโดยขอผ่อนปรนข้อกำหนดทางการเงินหรือปรับปรุงโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ภายใต้ข้อกำหนดทางการเงิน อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงถ้าบริษัทไม่สามารถบริหารจัดการโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ภายใต้ข้อกำหนดทางการเงิน และ/หรือ บริษัทมีสถานะทางการเงินที่ต่ำกว่าคาดการณ์

NOBLE เป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลางซึ่งก่อตั้งในปี 2534 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2539 บริษัทมีการออกแบบที่อยู่อาศัยที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งทำให้โครงการของบริษัทมีความแตกต่างไปจากโครงการของผู้ประกอบการรายอื่น บริษัทเน้นพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมาตั้งแต่ปี 2549 เนื่องจากแนวโน้มของตลาดนิยมการมีที่พักอยู่ในเมืองมากขึ้น ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัย 17 โครงการซึ่งมีมูลค่าเหลือขายประมาณ 12,000 ล้านบาท บริษัทมียอดขายที่รอการส่งมอบคิดเป็นมูลค่าประมาณ 18,000 ล้านบาท จำนวนยูนิตที่แล้วเสร็จพร้อมรับรู้รายได้ในช่วงที่เหลือของปี 2557 จนถึงปี 2558 มีมูลค่า 94 ล้านบาท ส่วนจำนวนยอดขายที่รอการส่งมอบที่เหลือสามารถรับรู้รายได้หลังจากปี 2559 ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 โครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทประกอบด้วยคอนโดมิเนียมซึ่งมีสัดส่วนคิดเป็น 86% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด บ้านเดี่ยว 7% ทาวน์เฮ้าส์ 5% และที่ดินเปล่า 2%

ยอดขายของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 เท่ากับ 4,477 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจาก 4,743 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 รายได้รวมของบริษัทในปี 2556 เติบโต 21% เป็น 3,085 ล้านบาท โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากการโอนโครงการ “โนเบิล รีฟอร์ม" และโครงการ “โนเบิลรีดี" รายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 เท่ากับ 2,171 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า กว่า 95% ของยูนิตที่เหลือขาย หรือ 11,000 ล้านบาท จะสามารถรับรู้รายได้หลังจากปี 2558 บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบภายใต้ชื่อ GABLE มูลค่า 2,000 ล้านบาทภายในสิ้นปี 2557 นี้ ซึ่งโครงการนี้จะเป็นรายได้หลักของบริษัทในปี 2558 รายได้ของบริษัทในปี 2558 คาดว่าจะต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทเนื่องจากจำนวนยูนิตที่รอการส่งมอบส่วนใหญ่จะสามารถรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดของบริษัทยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้จากการเรียกเก็บเงินดาวน์จากลูกค้า

อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงระหว่าง 38%-39% ในช่วงปี 2551 ถึง 9 เดือนแรกของปี 2557 อัตรากำไรจากการดำเนินงานซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายเท่ากับ 18%-21% ในช่วงปี 2554 ถึง 9 เดือนแรกของปี 2557 เงินกู้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 10,059 ล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2557 จาก 9,796 ล้านบาทในปี 2556 และ 7,806 ล้านบาทในปี 2555 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 70% ณ เดือนกันยายน 2557 จาก 66% ในปี 2555 อัตราส่วนเงินกู้รวมสุทธิหลังจากหักเงินสดในมือต่อส่วนทุนเท่ากับ 1.96 เท่า ใกล้เคียงกับข้อกำหนดทางการเงินของหุ้นกู้ที่ 2.2 เท่า อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะสูงขึ้นในปี 2557-2559 เนื่องจากบริษัทมีการก่อสร้างคอนโดมิเนียมใหม่หลายโครงการ ดังนั้น อัตราส่วนเงินกู้รวมสุทธิหลังจากหักเงินสดในมือต่อส่วนทุนอาจจะเกิน 2.2 เท่า บริษัทมีแผนจะเจรจากับผู้ถือหุ้นกู้เพื่อขอผ่อนปรนข้อกำหนดทางการเงินในช่วงปี 2558-2560 บริษัทมียอดขายที่ค่อนข้างดีและมียอดขายที่รอการส่งมอบจำนวนมาก ดังนั้น จึงคาดว่าบริษัทจะได้รับการผ่อนปรนเงินไขทางการเงินนี้จากผู้ถือหุ้นกู้

เนื่องจากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่เพิ่มขึ้น อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทจึงลดลงไปอยู่ที่ 3.97% ณ สิ้นปี 2556 และ 4.45% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) เทียบกับ 5.4% ณ สิ้นปี 2555 อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องของบริษัทยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ โดยบริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอซึ่งประกอบด้วยเงินสดในมือ 1,500 ล้านบาท เงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิก 4,600 ล้านบาท และเงินสดจากการผ่อนดาวน์ของลูกค้าอีกประมาณปีละ 1,200 บาท ทั้งนี้ บริษัทมีภาระหนี้ที่ครบกำหนดชำระในปีหน้าประมาณ 2,000 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ