"การขาย BCP ครั้งนี้เป็นการขายแบบ Strategic ผู้สนใจลงทุนบางจาก ต้องการเข้ามาบริหาร เป็นการลงทุนหุ้นระยะกลางและระยะยาว ฉะนั้นราคาหุ้นแกว่งตามราคาน้ำมันก็จะไม่มีผล แต่ราคาขายก็ปรับให้เหมาะสม" นายวิรัตน์ กล่าว
ทั้งนี้ นักลงทุนที่จะเข้าซื้อหุ้น BCP ที่ PTT ถือหุ้นอยู่ 27.22% นั้นก็ต้องทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ เพราะถือเกินสัดส่วน 25%
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา(12 ธ.ค.) ราคาหุ้น BCP อยู่ที่ 32 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
ส่วนการขายหุ้นโรงกลั่นสตาร์ปิโตรเลียม(SPRC) นั้น นายวิรัตน์ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนแก้ไขสัญญา และนำเสนอต่อครม.เพื่อทราบ อย่างไรก็ดี ในปีนี้ผลประกอบการของ SPRC ไม่ค่อยดี เนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่จำนวน 30 วัน แต่คาดว่าผลประกอบการปีนี้น่าจะดีกว่าปีนี้
นอกจากนี้ PTT จะขายหุ้นสัดส่วนถืออยู่ 36% ออกมาในคราวเดียวกันกับการขายหุ้น IPO หรือไม่ก็ต้องมาพิจารณากันอีกครั้ง รวมทั้งการนำเข้าตลาดหุ้นจะต้องดูสภาวะตลาดหุ้น และสภาวะธุรกิจด้วยซึ่งขณะนี้ธุรกิจโรงกลั่นได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันปรับตัวลงไปมาก ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ PTT คาดว่าจะเข้าตลาดในช่วงครึ่งหลังปี 58
นายวิรัตน์ ยอมรับว่า กำไร PTT ในปีนี้ไม่ได้ดีตามที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าว่าจะทะลุ 1 แสนล้านบาท เพราะในไตรมาส 4 นี้ได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลงของราคาน้ำมันมาก ทำให้เกิดผลขาดทุนสต๊อก(Stock Loss)ซึ่งรับผลกระทบระยะสั้น อย่างไรก็ดีในงวด 9 เดือน PTTสามารถทำกำไรไปแล้ว 8.4 หมื่นล้านบาท
ส่วนงบลงทุน 5 ปี (ปี 58-62) จะนำเสนอคณะกรรมการบริษัทในสิ้นปีนี้ โดยจำนวนงบใกล้เคียงงบ 5 ปีเดิม (ปี 57-61) จำนวนกว่า 3 แสนล้านบาท ส่วนงบลงทุน 5 ปีของทั้งกลุ่ม ปตท. คาดว่าจะอยู่ระดับ 1 ล้านล้านบาท โดยส่วนใหญ่ 40-50% เป็นงบของ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP)