ปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่ทำให้นักลงทุนสนใจลงทุนมาจากความมั่นใจในทรัพย์สินที่ TREIT เข้าไปลงทุน ซึ่งเป็นคลังสินค้าและโรงงานให้เช่าที่มีคุณภาพสูงของกลุ่มบริษัทไทคอน สามารถรับรู้รายได้ตั้งแต่วันแรกจากผู้เช่าที่เต็มเกือบ 100% นอกจากนี้ ผู้เช่าส่วนใหญ่ยังเป็นบริษัทชั้นนำสัญชาติญี่ปุ่นที่ประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และอุปโภคบริโภคซึ่งมีความมั่นคงทางรายได้ รวมทั้งยังมีโอกาสเติบโตจากการนำสินทรัพย์ใหม่ๆ เข้ามาในกอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีกลุ่มบริษัทมิตซุยซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำของโลกเข้ามาถือหน่วยทรัสต์ด้วยนั้น จะช่วยเปิดโอกาสให้ TREIT สามารถเติบโตอย่างมีศักยภาพไปพร้อมกับการเปิด AEC ในปีหน้า ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่า ผลประโยชน์ตอบแทนจากการลงทุนใน TREIT ซึ่งมาจากเงินส่วนแบ่งกำไรและจากสภาพคล่องส่วนเกินในปีแรกจะอยู่ประมาณ 7.75%
นอกจากนี้ TREIT ยังมีนโยบายจ่ายผลตอบแทนไม่น้อยกว่าปีละ 2 ครั้งในอัตราไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรสุทธิปรับปรุงแล้วอีกด้วย
นายอมร กล่าวว่า สำหรับเงินที่เสนอขายหน่วยทรัสต์ครั้งนี้ มูลค่า 3,425 ล้านบาท ผนวกกับเงินกู้จากธนาคารอีกจำนวนหนึ่ง รวมมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 4,250 ล้านบาท จะนำไปลงทุนครั้งแรกในกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน (Freehold) และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ (Leasehold) ของคลังสินค้าและโรงงานให้เช่าของกลุ่มบริษัทไทคอน รวมทั้งสิ้น 45 ยูนิต พื้นที่ให้เช่ารวมทั้งสิ้น 214,523 ตารางเมตร บนที่ดินรวม 306 ไร่ แบ่งเป็น คลังสินค้า จำนวน 25 ยูนิต มีพื้นที่รวม 160,523 ตารางเมตร และโรงงานจำนวน 20 ยูนิต พื้นที่รวม 54,000 ตารางเมตร
อย่างไรก็ตาม คาดว่า กอง TREIT จะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 9 มกราคม 2558 เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนทั่วไปได้ลงทุนในวงกว้าง ซึ่งจะเป็น REIT ตัวแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2558 และเชื่อว่า TREIT จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน