ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ SINGER ที่ BBB แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 17, 2014 16:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย(SINGER) ที่ระดับ “BBB" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีในตราสัญลักษณ์สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของบริษัทในกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ตลอดจนเครือข่ายสาขาและตัวแทนจำหน่ายที่กว้างขวางทั่วประเทศ ประสบการณ์ที่ยาวนานในธุรกิจให้สินเชื่อเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ฐานลูกค้าที่กระจายตัว คณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ และพนักงานขายที่ได้รับการอบรมเป็นอย่างดีและมีความใกล้ชิดกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนโดยคุณภาพเครดิตของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายซึ่งมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจ

ขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าคณะผู้บริหารของบริษัทจะสามารถดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดและนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ได้อย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะดำรงความมั่นคงของสถานะทางการตลาดของบริษัทเอาไว้ให้ได้ตามแผน อีกทั้งผลประกอบการทั้งในด้านการดำเนินธุรกิจและฐานะการเงินก็คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและคุณภาพสินเชื่อจะได้รับการควบคุมให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้

SINGER ได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนโครงสร้างกลุ่มโดยการขายลูกหนี้เช่าซื้อทั้งหมดแก่ บริษัท ซิงเกอร์ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่บริษัทถือหุ้นทั้งหมด เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ปัจจุบันบริษัทให้ความสำคัญในด้านธุรกิจการค้า (Trading) และกำลังขยายตลาดให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ โดยใช้ตราสินค้า “ซิงเกอร์" ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายควบคู่ไปกับเครือข่ายที่กว้างขวางด้วยจำนวนสาขา 216 แห่งและพนักงานขายประมาณ 3,300 คน ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 ในขณะที่บริษัทซิงเกอร์ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จะเป็นผู้ให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้าของบริษัทที่ซื้อสินค้าภายใต้ตราสินค้า “ซิงเกอร์" ในปี 2553 บริษัทได้กลับมาให้ความสำคัญในการขายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านซึ่งบริษัทมีประสบการณ์ที่ยาวนานโดยใช้กลยุทธ์ขยายตลาดให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการขนาดเล็ก บริษัทเพิ่มและเน้นจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เป็นเครื่องมือสร้างรายได้ให้แก่ผู้ซื้อ เช่น ตู้แช่ เครื่องเติมเงินสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ และตู้เติมน้ำมันหยอดเหรียญ ในเดือนมกราคม 2557 บริษัทได้ออกตราสัญลักษณ์ย่อย “SINGER Get Rich" เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการที่สนใจในสินค้ากลุ่มนี้ นอกจากนี้ ยังได้ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายโดยการตั้งเคาน์เตอร์สินค้าในห้างแมคโครอีกด้วย โดยรายได้จากผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์นี้คิดเป็น 59% ของยอดขายรวมในครึ่งแรกของปี 2557 เพิ่มขึ้นจาก 41% ในปี 2555 และ 49% ในปี 2556 บริษัทมียอดบัญชีสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมีจำนวนบัญชีเพิ่มขึ้นเป็น 178,061 บัญชี ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557 โดยเพิ่มขึ้น 10% จากปี 2555 และ 1% จากปี 2556 ลูกค้าเป้าหมายกลุ่มใหม่ซึ่งเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กนี้จัดว่ามีคุณภาพสูงกว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายกลุ่มดั้งเดิมของบริษัท นอกจากนี้ สินค้ากลุ่มใหม่ของบริษัทยังช่วยสร้างรายได้ให้แก่ลูกค้ากลุ่มใหม่นี้ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าและยกระดับคุณภาพสินเชื่อโดยรวมได้ด้วย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริษัทเพิ่งจำหน่ายสินค้ากลุ่มใหม่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดังนั้น ความสำเร็จของกลยุทธ์ใหม่ที่จะช่วยให้บริษัทสร้างความมั่นคงให้แก่สถานะทางการตลาดและเพิ่มผลประกอบการยังต้องอาศัยเวลาในการพิสูจน์ต่อไป ลูกหนี้เช่าซื้อของบริษัทมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องหลังจากบริษัทหันมาให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่และผลิตภัณฑ์ประเภทใหม่ โดยมูลค่าลูกหนี้เช่าซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 1,164 ล้านบาทในปี 2553 เป็น 2,226 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 บริษัทได้จัดตั้งฝ่ายควบคุมสินเชื่อขึ้นในปลายปี 2551 เพื่อตรวจสอบและวิเคราะห์ใบสมัครสินเชื่อ รวมทั้งแยกอำนาจการอนุมัติสินเชื่อออกจากพนักงานขายเพื่อสร้างระบบการตรวจสอบและถ่วงดุล โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะพัฒนาคุณภาพสินทรัพย์และมาตรฐานการปฏิบัติงานเพื่อปรับปรุงคุณภาพของลูกหนี้เช่าซื้อ อัตราส่วนลูกหนี้เช่าซื้อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อลูกหนี้เช่าซื้อรวมปรับตัวดีขึ้นจากระดับสูงที่ 34.2% ในปี 2550 เป็น 4.3% ณ สิ้นปี 2555 อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้อัตราส่วนดังกล่าวมีการปรับเพิ่มขึ้นเป็น 6% ในปี 2556 และ 6.6% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทเน้นจำหน่ายสินค้าบางประเภทโดยเฉพาะเท่านั้น ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะกระจายฐานลูกค้าตามประเภทสินค้าเพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวด้วยเช่นกัน ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถานะทางการเงินของบริษัทได้รับผลกระทบในปี 2549 จากหนี้เสียของสินเชื่อรถจักรยานยนต์เป็นส่วนใหญ่ บริษัทได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการฟื้นฟูธุรกิจไม่ว่าจะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กระบวนการและเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อให้มากขึ้น การเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการเก็บเงิน การลดค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่ไม่จำเป็น และการขยายประเภทสินค้าและฐานลูกค้า ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 321 ล้านบาทในปี 2556 จากที่มีผลขาดทุน 10 ล้านบาทในปี 2552

อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิปรับตัวลดลงเป็น 217 ล้านบาทสำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 เมื่อเปรียบเทียบกับ 277 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันในปี 2556 อันเป็นผลจากค่าใช้จ่ายหนี้สูญที่เพิ่มขึ้นจากคุณภาพลูกหนี้ที่ถดถอยลง ส่งผลให้อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยปรับเพิ่มเป็น 10.8% ในปี 2556 จาก 6.6% ในปี 2554 และปรับตัวลงเล็กน้อยเป็น 8.7% สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2557 (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีแล้ว)

ฐานทุนของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นเป็น 1,527 ล้านบาทในเดือนกันยายน 2557 จาก 848 ล้านบาทในปี 2553 ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนลดลงเป็น 41.6% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 จาก 49.3% ในปี 2553 ซึ่งอัตราส่วน ณ ปัจจุบันอยู่ในระดับที่เพียงพอให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจต่อไปได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ