“หลังการระดมทุนในครั้งนี้ KCM มีแผนในการขยายตลาดในภาคเหนือและอีสาน ขณะเดียวกันยังเตรียมเข้ารุกในธุรกิจอาคารสำเร็จรูปให้เช่า ซึ่งจะช่วยผลักดันรายได้ของบริษัทมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอนาคต" นายสมภพ กล่าว
นายนิมิต วงศ์จริยกุล กรรมการบริหาร บล.โนมูระ พัฒนสิน ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนมั่นใจว่าหุ้น KCM ซึ่งกำลังจะเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ mai วันที่ 23 ธันวาคมนี้ จะไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวังและน่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ เพราะบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง รายได้และกำไรขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ด้านนายนิพนธ์ เจริญกิจ กรรมการผู้จัดการ KMC กล่าวว่า เตรียมนำเงินที่ได้ไปใช้เป็นเงินลงทุนเพื่อขยาย 3 สาขา คือ ภูเก็ต แพร่ และลำปาง โดยลงทุนก่อสร้างตกแต่งและเครื่องจักร บนที่ดินที่บริษัทเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แล้ว และในช่วง 3 ปีข้างหน้า (2558-2560) เตรียมใช้เป็นเงินลงทุนเพื่อขยายสำนักงานขายขนาดเล็ก 92 แห่ง ในพื้นที่ภาคกลางตอนบน ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหลัก และอีกส่วนจะใช้เป็นเงินลงทุนในธุรกิจอาคารสำเร็จรูปให้เช่าจำนวน 4 แห่ง ในพื้นที่สาขา 3 จังหวัด ประกอบด้วยจังหวัดขอนแก่น 2 แห่ง จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดนครราชสีมา จังหวัดละ 1 แห่ง อีกทั้ง ใช้เป็นเงินลงทุนซื้อเครื่องจักรเพื่อขยายกำลังการผลิตแปเหล็กกล้ากำลังสูงจำนวน 4 เครื่อง และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
“การขยายสำนักงานขายขนาดเล็ก 92 แห่งในพื้นที่ภาคกลางตอนบน ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามแผนยุทธศาสตร์ดาวกระจาย ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะช่วยขยายฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ผลักดันให้รายได้ของ KCM ในช่วง 3 ปีข้างหน้าเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ"นายนิพนธ์ กล่าว
ปัจจุบัน KCM มีสาขาอยู่ 22 แห่ง กระจายในภาคอีสานและภาคเหนือ ได้แก่ ขอนแก่น ชัยภูมิ อุดรธานี สกลนคร มหาสารคาม ร้อยเอ็ด บุรีรัมย์ นครราชสีมา สระบุรี พิษณุโลก กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ ฯลฯ ซึ่งในจังหวัดขอนแก่นก็มีถึง 4 สาขาแล้ว ล่าสุดได้ซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อจะทำการเปิดโรงงานแห่งใหม่ มีที่ภูเก็ต ลำปาง แพร่ และเชียงใหม่ โดยที่เชียงใหม่อยู่ในขั้นตอนการก่อสร้างและดำเนินการคาดว่าน่าจะเปิดให้บริการได้ในปลายปีนี้
อนึ่ง KCM มีทุนจดทะเบียน 170 ล้านบาท มีทุนชำระแล้วเต็มมูลค่าเท่ากับ 120 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญจำนวน 480 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท สำหรับทุนจดทะเบียนส่วนที่เหลือจำนวน 50 ล้านบาท บริษัทออกไว้เพื่อรองรับการเสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท