"ปีหน้าเรามองว่ารายได้และกำไรจะเติบโตดีกว่าปีนี้แน่นอน จากการปรับผังรายการและธุรกิจใหม่ๆที่จะมีเข้ามา ขณะที่ค่าโฆษณาและค่าเช่าเราคงไม่ได้ปรับเพิ่ม โดยปัจจุบันบริษัทฯมีค่าโฆษณาช่วงไพรมไทม์ที่ 4.5 แสนบาทต่อนาที และช่วงปกติอยู่ที่ 2 แสนบาทต่อนาที ส่วนสัดส่วนรายการก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมมาก ซึ่งจะเป็นข่าว 29% สาระและบันเทิง 28% บันเทิง 26% กีฬา 8% และอื่นๆ 9%"นายศิวะพร กล่าว
ขณะที่ความคืบหน้าของการประมูลจัดซื้อจัดจ้างโครงข่ายดิจิตอล บริษัทฯคาดว่าน่าจะมีการเปิดซองผู้ยื่นประมูลได้ในวันที่ 29 ธ.ค.57 และน่าจะใช้ระยะเวลาในการคัดเลือกผู้ชนะประมูล 7 วัน หลังจากนั้นทางฝ่ายวิศวกรจะสามารถเริ่มติดอุปกรณ์ได้ในช่วงเดือนก.พ.58 โดยปัจจุบันบริษัทฯมีโครงข่ายครอบคลุมแล้วมากกว่า 50% ซึ่งตั้งเป้าหมายในเดือนก.พ.จะครอบคลุมได้ 70% และเดือนมิ.ย.เป็น 80%
ส่วนการเยียวยาให้แก่ผู้ประกอบการ 3 ราย บริษัทฯจะมีการหารือร่วมกับผู้ประกอบการในวันพรุ่งนี้ (19 ธ.ค.57) โดยมีประเด็น ดังนี้ 1.การลดค่าบริการจะคิดค่าบริการโครงข่ายแก่สถานีที่ออกอากาศได้บางพื้นที่เท่านั้น 2.ในช่วงที่เกิดการขัดข้องในการออกอากาศ (จอดำ) จะลดค่าบริการให้กับผู้เช่าตามระยะเวลาและพื้นที่ที่เกิดขึ้นจริง 3.จะมีการประชาสัมพันธ์ผ่าน อสมท เพื่อทำความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการถึงผังรายการที่จะเกิดขึ้นหลังวางโครงข่ายไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ทางกสทช.ได้กำหนดระยะเวลาต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ซึ่งทางบริษัทฯมั่นใจจะสามารถทำตามข้อกำหนดของกสทช.ได้
นายศิวะพร กล่าวว่า สำหรับการเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ MCOT นั้น วาระเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการมีอยู่ 5 มาตรการ คือ 1.ปรับทัศนคติพนักงานถึงการเป็นดิจิตอลทีวี และข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในองค์กรให้หมดไป 2.ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์และสามารถทำงานเชิงรุกได้มากขึ้น และหาพันธมิตรเข้าร่วมอย่างต่อเนื่อง 3.เพิ่มรายได้จากธุรกิจอื่น โดยในปีหน้าจะเน้นธุรกิจที่เกี่ยวกับการจัดงานอีเวนต์ และคอนเสิร์ต เพื่อต่อยอดธุรกิจให้เติบโตได้ในอนาคต 4.ปรับผังรายการให้มีความน่าสนใจนำคอนเทนท์ทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ตรงกับความต้องการของผู้ชมมากขึ้น 5.ลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ไม่มีความจำเป็นลงควบคู่ไปกับการเสริมประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้น
ขณะที่ในปีนี้เรื่องของผลการดำเนินงาน บริษัทฯยอมรับว่ารายได้และกำไรจะลดลงกว่าปี 56 ที่มีรายได้อยู่ที่ 5,984.77 ล้านบาท กำไร 1,526.93 ล้านบาท เป็นผลมาจากการลงทุนการประมูลทีวีดิจิตอล และเรื่องของโครงข่าย ที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก รวมถึงรายได้จากโฆษณาที่ลดลง ตามอุตสาหกรรมโฆษณาที่ไม่ได้เติบโตมากนัก จากสภาวะทางเศรษฐกิจ