"เราอยู่ระหว่างหากิจการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหารที่เราถนัดอยู่แล้วทั้งในและต่างประเทศ โดยจะเน้นในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เพราะดูแลง่าย และวัฒนธรรมของการบริโภคใกล้เคียงกัน ซึ่งจะมองในบริษัทที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก มีสาขาอยู่จำนวนหนึ่ง และยังสามารถผลักดันให้มีการเติบโตได้ แต่ก็การซื้อกิจการไม่ง่ายนักและเป็นครั้งแรกของเราด้วย เราก็คงต้องใช้เวลาซักระยะหนึ่ง อย่างเร็วก็คงจะประมาณ 6 เดือน หรือเร็วสุดก็ช่วงกลางปี 58" นายประวิทย์ กล่าว
สำหรับผลประกอบการในปีนี้ บริษัทคาดว่ารายได้จะเติบโตราว 5-7% ต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้จะเติบโตได้ราว 10-15% เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ทำให้การบริโภคของประชาชนลดน้อยลง แม้ว่าหลังจากที่สถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น แต่การบริโภคในช่วงไตรมาส 3/57 ก็ยังไม่ได้กลับมาพื้นตัวได้ดีอย่างที่คาดไว้
อย่างไรก็ตาม บริษัทเชื่อว่ารายได้ในไตรมาส 4/57 จะมากกว่าไตรมาส 3 และสูงกว่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากปกติไตรมาส 4 จะเป็นช่วงไฮซีซั่นอยู่แล้ว
"ไตรมาส 4 เป็นช่วงไฮซีซั่นอยู่แล้ว ทำให้แนวโน้มรายได้ของเราเติบโตได้ค่อนข้างดี แต่ผลกระทบจากการเมืองที่มีมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 56 และกระทบการบริโภคมาถึงช่วงไตรมาส 3 ส่งผลให้รายได้ของเราเติบโตไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่อย่างไรก็ตามทั้งรายได้และกำไรในปีนี้ก็ยังมากกว่าปีก่อน"นายประวิทย์ กล่าว
ส่วนปี 58 นายประวิทย์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้จะเติบโต 10-15% จากปีนี้ โดยเตรียมงบลงทุนไว้ราว 600-700 ล้านบาทเพื่อใช้ในการขยายสาขา ทั้งร้านเอ็มเค เรสโตรองต์, ยาโยอิ และ เทนจิน เทปปันยากิ เนื่องจากมองว่าการบริโภคน่าจะเติบโตตามภาพรวมเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดีขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับแบรนด์อาหารต่างประเทศอีกหลายรายให้เข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทย นอกจากนี้บริษัทฯยังจะมีการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆมากขึ้น อาทิ การเพิ่มเมนูอาหารใหม่ๆ
"เราตั้งเป้ารายได้จะเติบโตในระดับ 10-15% โดยเราจะมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ทำการตลาดมากขึ้นเพราะปัจจุบันธุรกิจนี้มีการแข่งขันสูง ทั้งการเพิ่มเมนูใหม่ๆ เรื่องโปรโมชั่น เพื่อเป็นการดึงดูดลูกค้า ในขณะเดียวกันเราก็ยังอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อที่จะหาแบรนด์ใหม่ๆเข้ามาเปิดในไทย แต่ในส่วนนี้เองก็ต้องใช้เวลาเพราะต้องมาดูว่าเหมาะสมกับคนไทยหรือไม่ และต้องดูเรื่องของราคาด้วย คือราคาอาหารที่ไม่สูงมาก
ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็ยังต้องติดตามเศรษฐกิจจะกลับมาดีขึ้นจริงหรือไม่ ซึ่งในไตรมาส 4 เป็นช่วงไฮซีซั่นอยู่แล้ว จะวัดได้จริงๆก็ต้องเป็นช่วงไตรมาส 1 ที่เทศกาลต่างๆหมดไปแล้ว ซึ่งหากเศรษฐกิจกลับมาดีจริงๆก็จะเป็นผลดีกับเรา เพราะหากเศรษฐกิจดี การบริโภคก็จะกลับมาตาม แต่ส่วนหนึ่งเราก็เชื่อว่าเศรษฐกิจจะได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่ลดลง และมาตรการต่างๆของรัฐฯที่จะเข้ามาช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปีหน้า" นายประวิทย์ กล่าว