(เพิ่มเติม) EPG มั่นใจเทรด 24 ธ.ค.หลังนลท.ตอบรับล้นหลาม-ชูหุ้นนวัตกรรมตัวแรกของไทย

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday December 23, 2014 14:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ม.ล.ทองมกุฎ ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ไทยพาณิชย์ ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ.อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป(EPG)เปิดเผยว่า การเปิดให้ให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน EPG จำนวน 700 ล้านหุ้น ที่ราคา 5.80 บาทต่อหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 1.00 บาทในช่วงวันที่ 17-19 ธ.ค.นักลงทุนให้การตอบรับอย่างล้นหลาม โดยนักลงทุนสถาบันสนใจจองซื้อสูงกว่า 6.5 เท่าของจำนวนหุ้นที่จัดสรร แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศมีความผันผวนมาก
"แสดงให้เห็นว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐาน และศักยภาพในการเติบโตของ EPG อีกทั้ง EPG ยังเป็นหุ้นนวัตกรรมตัวแรกของไทย ภายใต้โครงการหุ้นนวัตกรรมและสร้างสรรค์ ความภูมิใจของไทย และด้วยแบรนด์ที่แข็งแกร่งโดยหุ้น EPG จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 24 ธันวาคมนี้ ในหมวดวัสดุก่อสร้าง (Construction Materials)"ม.ล.ทองมกุฏ กล่าว

นายอรรถพงศ์ พรธิติ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายวาณิชธนกิจ 3 กลุ่มธุรกิจใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า EPG มีความโดดเด่นด้านนวัตกรรมครบทั้ง 3 ประเภท คือ 1.นวัตกรรมด้านวัสดุ 2.นวัตกรรมด้านการออกแบบ และ 3.นวัตกรรมด้านการผลิต ทำให้สินค้ามีความโดดเด่น แตกต่าง และคู่แข่งทางการค้าไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ด้วยสิทธิบัตรที่การันตีความสำเร็จอีกกว่า 239 ฉบับ ในปัจจุบันนอกจากโดดเด่นด้านนวัตกรรมแล้ว EPG ยังมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ที่สามารถไปบุกตลาดต่างประเทศได้กว่า 100 ประเทศ ด้วยฐานการผลิตและช่องทางการจัดจำหน่ายที่กระจายอยู่ทั่วโลก จากปัจจัยทั้ง 3 ด้าน ทำให้ EPG เป็นบริษัทที่มี High Growth และ High Margin และมีพื้นฐานของธุรกิจที่ดีซึ่งส่งผลต่อศักยภาพในการเติบโตที่แข็งแกร่งในอนาคต

ด้านนายภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EPG กล่าวว่า ภายหลังจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ครั้งนี้ จะช่วยผลักดันให้ EPG มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจเพิ่มมากขึ้น ทั้งการเพิ่มกำลังการผลิต และการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในต่างประเทศของ EPG ที่มีแนวโน้มการเติบโตอยู่แล้วให้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

"เราจะนำเงินบางส่วนที่ได้จากการระดุมทุนครั้งนี้ภายหลังการหักค่าใช้จ่ายในการเสนอขายหุ้นไปใช้ในขยายกิจการประมาณ 960 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่น เพิ่มกำลังการผลิตในต่างประเทศของบริษัทแอร์โรเฟลกซ์ การลงทุนในโครงการเพิ่มกำลังการผลิตและขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในต่างประเทศของบริษัทแอร์โรคลาส และโครงการเพิ่มระบบออโตเมชั่น ด้วยเครื่องจักรความเร็วสูงของบริษัทอีสเทิร์น โพลีแพค ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาโครงการดังกล่าวอยู่นอกจากนั้น EPG จะนำเงินที่ได้จากการระดมไปชำระหนี้เงินกู้บางส่วนประมาณ 3,000 ล้านบาท"ดร.ภวัฒน์ กล่าว

สำหรับผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของ EPG เป็นที่น่าพึงพอใจ โดยระหว่างปีบัญชี 55-57 มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 25-30% รวมถึงมี EBITDA เติบโตอย่างต่อเนื่องที่อัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) 20.8% ตลอด 3 ปีบัญชีที่ผ่านมา

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า EPG จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน ตลท.ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดวัสดุก่อสร้าง ในวันที่ 24 ธันวาคม 2557 ซึ่ง EPG ประกอบธุรกิจการลงทุนในบริษัทอื่น (holding company) มีการลงทุนในธุรกิจหลัก คือธุรกิจผลิตและจำหน่ายฉนวนยางกันความร้อน/เย็นในอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง ภายใต้ตราสินค้า “แอร์โรเฟล็กซ์" นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจอื่น ได้แก่ ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ ภายใต้ตราสินค้า“แอร์โรคลาส"ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกคุณภาพสูง ภายใต้ตราสินค้า “อีพีพี" โดยบริษัทให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ ในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะ มีคุณภาพสูง และมีเครื่องหมายการค้าของตนเอง

EPG มีทุนชำระแล้ว 2,800 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 2,100 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 700 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 17 – 19 ธันวาคม 2557 ในราคาหุ้นละ 5.80 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 4,060 ล้านบาท หลัง IPO ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ EPG 3 ลำดับแรก ได้แก่ กลุ่มวิทูรปกรณ์ ถือหุ้น 75% สำนักงานประกันสังคม ถือหุ้น 0.37% และ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ถือหุ้น 0.36 %

การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO พิจารณาจากการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ของนักลงทุนสถาบัน (Book Building) คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 32.22 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (1 ตุลาคม 2556 – 30 กันยายน 2557) หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.18 บาท โดย P/E Ratio เฉลี่ยของบริษัทที่คัดเลือกจากหมวดวัสดุก่อสร้างในช่วง 6 เดือน (13 มิถุนายน - 12 ธันวาคม 2557) เท่ากับ 15.7 เท่า ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินรวม หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ