สำหรับผลประกอบการในปีนี้ บริษัทมั่นใจว่าจะมีกำไรขั้นต้นจากการดำเนินงานไม่น้อยกว่า 8-10% และมีกำไรพิเศษจากการขายหุ้นบริษัทในเครือ ทำให้รายได้ทั้งปีมากกว่า 34,000 ล้านบาท แม้ว่าในประเทศจะมีปัญหาการเมืองและปัญหาเศรษฐกิจจะชะลอตัว รวมทั้งมีผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจโลก งานก่อสร้างของภาครัฐล่าช้า แต่บริษัทมีงานในมือ(Backlog) กว่า 100,000 ล้านบาทรองรับรายได้ก่อสร้างอีก 4 ปี
และบริษัทจะเข้าร่วมแข่งขันในการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐอย่างเต็มที่ในปีหน้า เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม สายสีชมพู โครงการรถไฟทางคู่ โครงการมอร์เตอร์เวย์ โดยมั่นใจว่าจะได้ส่วนแบ่งงานก่อสร้างกว่า 20-25% ของงานทั้งหมด และพร้อมที่จะเข้าร่วมลงทุนดำเนินการในโครงการของภาครัฐแบบ PPP ทั้งโครงการทางด่วน รถไฟฟ้า โรงไฟฟ้า น้ำประปา
"ในปี 58 ภาครัฐมีการลงทุนสาธารณูปโภคเตรียมลงทุนค่อนข้างมาก รถไฟฟ้าออกามา 3 เส้น รถไฟทางคู่ ช.การช่างได้เตรียพร้อมกำลังคน เครื่องจักร ฐานะการเงิน เรามั่นใจเรามีศักยภาพ คาดว่าราจะมีส่วนร่วมงาน 20-25% ของโครงการที่ออกมา และยังมีการเดินรถสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย เราน่าจะเป็นผู้เดินรถให้ครบวง ต้นปีน่าจะมีความชัดเจน...ในปี 58 เราคิดว่าจะเป็นปีดีอีกปีของ ช.การช่าง"นายปลิว กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ารายได้จากงานก่อสร้างจะใกล้เคียงปีนี้ที่ 33,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้จาก backlog ที่มีอยู่และงานใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่มเติม ขณะที่บริษัทจะลงทุนในส่วนทุนต่อเนื่องในโครงการไซยะบุรี จำนวน 700-800 ล้านบาทที่จะต้องดำเนินการไปถึงปี 61 และบริษัทเตรียมจะออกหุ้นกู้เพิ่มเติมในปีหน้า เนื่องจากมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอน 2 งวดในเดือนเม.ย. และเดือน ก.ค. รวม 3,000 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งอาจกู้จากสถาบันการเงินที่ยื่นข้อเสนอมา จากปีนี้ที่บริษัทเสนอขายหุ้นกู้ไปแล้ว 2,500 ล้านบาท
ด้านนายพงษ์สฤษดิ์ ตันติสุวณิชย์กุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจ CK กล่าวว่า บริษัทคาดว่างานรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนุบรี มูลค่า 8.26 หมื่นล้านบาท น่าจะออกมาประมูลก่อนเป็นงานแรกในปี 58 โดยบริษัทคาดว่าจะได้งานจากโครงการนี้ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท และรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนุบรี มูลค่า 2.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งใช้รถโมโนเรล
อีกทั้งเร็วๆ นี้คาดว่าจะมีการเปิดซองราคาโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงแก่งคอย-ฉะเชิงเทรา ซึ่งบริษัทได้ยื่นซองไปแล้ว
นายพงษ์สฤษดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ราคาเหล็กกับปูนซิเมนต์ยังทรงตัว และคาดว่าปีหน้าก็ยังไม่น่าจะปรับขึ้นมาก เพราะมีการนำเข้าเหล็กจากจีนและอินโดนีเซียมาขายในไทยค่อนข้างมาก ประกอบกับ เศรษฐกิจจีนชะลอตัวทำให้ความต้องการเหล็กน้อยลง จึงเห็นว่าปีหน้าเป็นโอกาสที่ภาครัฐจะเร่งโครงการใหม่ออกมา