ทริส คงอันดับเครดิตองค์กร DTC ที่ "BBB+" แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 24, 2014 10:19 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. ดุสิตธานี (DTC) ที่ระดับ “BBB+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงชื่อเสียงของบริษัทในฐานะผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมรายใหญ่ของไทยและการดำเนินนโยบายการเงินแบบอนุรักษ์นิยมของบริษัท นอกจากนี้ การจัดอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงโรงแรมในเครือของบริษัทที่กระจายตัวอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ตลอดจนศักยภาพในการขยายธุรกิจบริหารโรงแรมด้วย อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสนับสนุนดังกล่าวลดทอนลงไปบางส่วนจากผลประกอบการที่อ่อนตัวลงท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง นอกจากนี้ ธรรมชาติของธุรกิจโรงแรมที่มีความผันผวนและปัจจัยภายนอกเช่นความเสี่ยงทางการเมืองยังเป็นประเด็นกังวลต่ออันดับเครดิตด้วยเช่นกัน

ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงนโยบายทางการเงินแบบอนุรักษ์นิยมของบริษัท ตลอดจนอัตรากำไรที่ค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น และโอกาสการเติบโตจากธุรกิจบริหารโรงแรมและธุรกิจการศึกษา อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรที่ต่ำของบริษัทยังเป็นประเด็นกังวลต่ออันดับเครดิต ทั้งนี้ บริษัทได้รับการคาดหมายว่าจะสามารถปรับปรุงและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อให้บริษัทสามารถดำรงอยู่ได้ในอุตสาหกรรมที่มีความอ่อนไหวและผันผวนอย่างเช่นอุตสาหกรรมโรงแรมนี้ได้และเพื่อสนับสนุนสถานะอันดับเครดิตของบริษัทด้วย

DTC เป็นหนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมชั้นนำของไทยซึ่งดำเนินงานและให้บริการบริหารโรงแรมภายใต้ชื่อดุสิตธานี ดุสิตปริ้นเซส ดุสิตดีทู ดุสิตเทวารัณย์ และดุสิตเรสซิเดนซ์ บริษัทก่อตั้งในเดือนกันยายน 2509 โดยท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย และในปี 2513 ได้เปิดดำเนินการโรงแรม 5 ดาวในชื่อ “ดุสิตธานี" ในกรุงเทพฯ เป็นแห่งแรก

ปัจจุบันกลุ่มดุสิตธานีมีโรงแรมทั้งหมด 10 แห่ง ซึ่งรวมโรงแรม 3 แห่งของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานีด้วย การมีประวัติที่ยาวนานได้สร้างชื่อเสียงที่มั่นคงและทำให้บริษัทสามารถขยายสู่ธุรกิจการให้บริการการบริหารจัดการ ณ เดือนธันวาคม 2557 บริษัทมีโรงแรมภายใต้การบริหารงานจำนวน 5,854 ห้อง โดยในจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งเป็นโรงแรมที่บริษัทให้บริการบริหารจัดการและเป็นโรงแรมภายใต้ระบบแฟรนไชส์ของบริษัททั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศฟิลิปปินส์ มัลดีฟส์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อียิปต์ จีน สหรัฐอเมริกา เคนยา และอินเดีย

นอกจากธุรกิจโรงแรมแล้ว บริษัทยังดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการศึกษาและการฝึกอบรมด้วย ธุรกิจการศึกษาของบริษัทในช่วงแรกประกอบด้วย เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต และธุรกิจด้านการอบรม ต่อมาในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 บริษัทได้รวมเอาผลประกอบการของวิทยาลัยดุสิตธานีเข้ามาในงบการเงินรวมของบริษัทด้วย ทำให้รายได้จากธุรกิจการศึกษาเพิ่มขึ้นเป็น 11% ของรายได้รวมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 เมื่อเทียบกับ 4% ที่มาจากเลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต และธุรกิจด้านการอบรม

ปัญหาความไม่สงบทางการเมืองตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2556 ตามมาด้วยการทำรัฐประหาร และการประกาศกฎอัยการศึกที่ยังคงดำเนินอยู่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของประเทศไทยเป็นอย่างมาก ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงแรมหลักของบริษัท ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวมากที่สุด โรงแรมของบริษัทที่พัทยาและหัวหินก็ได้รับผลกระทบ แต่อยู่ในระดับที่น้อยกว่าโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ

ในขณะที่อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมอื่นๆ ของบริษัทดีขึ้น ส่งผลให้อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 ลดลงเป็น 66% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 70% อย่างไรก็ตาม อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืนเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอยู่ที่ 3,712 บาท อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืนที่เพิ่มขึ้นมีสาเหตุหลักมาจากอัตราที่สูงของโรงแรมดุสิตธานีมัลดีฟส์ซึ่งยังส่งผลให้อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืนของกลุ่มดุสิตธานีปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม ค่าห้องพักต่อคืนของโรงแรมของบริษัทยังมีอัตราที่ต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง การแข่งขันที่รุนแรง และการเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่องของจำนวนห้องพักใหม่ ๆ และภาพลักษณ์ของโรงแรมของบริษัทที่ไม่ทันสมัยเป็นปัจจัยจำกัดความสามารถในการตั้งราคาห้องพักของบริษัท

รายได้ของบริษัทเติบโตขึ้น 10% ในปี 2556 ในขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 บริษัทบันทึกรายได้ 3,485 ล้านบาท ลดลง 3.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้ของโรงแรมดุสิตธานี มัลดีฟส์ ที่เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนช่วยลดผลกระทบจากผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวลงของโรงแรมในประเทศ ความสามารถในการทำกำไรยังคงเป็นประเด็นท้าทายของบริษัท ทั้งนี้ กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับอัตราเฉลี่ยของอุตสาหกรรม โดยอัตรากำไรของบริษัทอยู่ที่ 12.5% ในปี 2556 และ 8.9% สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2557 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของคู่แข่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อัตรากำไรของบริษัทถูกกดดันจากภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย รวมทั้งจากการที่บริษัทประกันรายได้ค่าเช่าให้แก่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี และจากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเตรียมบุคคลากรเพื่อรองรับการขยายธุรกิจบริหารโรงแรม

แม้จะมีผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวลง แต่สภาพคล่องของบริษัทยังอยู่ในระดับดี ซึ่งเป็นผลจากนโยบายการเงินที่ระมัดระวังของบริษัท โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินรวมอยู่ที่ 26.29% (ปรับให้เป็นตัวเลขเต็มปี โดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 12 เดือน) ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 6.95 เท่าสำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2557 อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทยังอยู่ในระดับต่ำ บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ 31.8% ณ เดือนกันยายน 2557

ในอนาคต บริษัทยังคงต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรม บริษัทมีแผนกลยุทธ์มุ่งเน้นการเพิ่มจำนวนโรงแรมที่บริษัทรับบริหารกิจการ ทั้งนี้ บริษัทได้ลงนามในสัญญาให้บริการบริหารกิจการโรงแรมและอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการโรงแรมใหม่ ๆ หลายรายทั้งในประเทศจีน อินเดีย ออสเตรเลีย สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะขยายธุรกิจการศึกษาทั้งในและต่างประเทศด้วย หากแผนดังกล่าวประสบความสำเร็จ รายได้จากธุรกิจบริหารกิจการโรงแรมและการศึกษาจะช่วยให้อัตราผลกำไรโดยรวมของบริษัทปรับตัวดีขึ้นด้วย

ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าผลประกอบการของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นตามสภาวะตลาดที่ฟื้นตัว โดยคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ประมาณ 770-900 ล้านบาทต่อปีในระยะ 3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเพียงพอต่อการ ชำระหนี้และรองรับการลงทุนของบริษัท บริษัทมีแผนจะลงทุนรวมราวๆ 1,700 ล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยหลัก ๆ จะเป็นการปรับปรุงคุณภาพของโรงแรมดุสิตธานี มะนิลา และการขยายธุรกิจการศึกษาของบริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังมองหาโอกาสที่จะขยายธุรกิจโรงแรมและการศึกษาในต่างประเทศอีกด้วย ทั้งนี้ หากบริษัทมีการลงทุนเพิ่มเติม คาดว่าจะเป็นในรูปแบบของการมีผู้ร่วมทุน ดังนั้นระดับหนี้สินต่อทุนของบริษัทจะไม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ