บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ฯประเมินราคาเป้าหมายปี 2016F ของบมจ.อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป(EPG) ที่ 7.15 บาท ด้วยวิธี PER 15x ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยผู้ประกอบการในธุรกิจคล้ายกัน โดยชอบ EPG ที่ ความเป็นผู้นำระดับโลกในสินค้ากลุ่มพลาสติกแปรรูป ด้วยส่วนแบ่งการตลาดกว่า 10% สำหรับสินค้าฉนวนยางกันความร้อน/เย็น (Top 3 ของโลก), 35% สำหรับสินค้าพื้นปูกระบะ(Bed liner, Top 1 ของโลก) และ 20% สำหรับสินค้าถ้วยพลาสติกในเอเชีย (Top 3 ของเอเชีย)
ท่ามกลางจุดแข็งด้วยการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมผ่านสิทธิบัตรที่มีในมือกว่า 239 รายการทั่วโลก และช่องทางการกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งผ่าน Dealer ใน 100 ประเทศ รวมถึงข้อได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งของฐานการผลิตที่กระจายและใกล้กับแหล่งคู่ค้า จึงคาด NP ช่วง 3 ปีข้างหน้า (ปี 2015-17F) จะเติบโตก้าวกระโดดกว่า +38%/ปี
ทั้งนี้ ประเมินในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าจะเป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลพลอยได้ของ EPG โดยสำหรับปี 15F (ปิดงวดมี.ค.15) เราคาดยอดขายจากลุ่มสินค้าฉนวนยางจะโตโดดเด่นสุดในกลุ่ม +10%y-y ตามความสำเร็จในการขยายตลาดในต่างประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาและเอเชีย ขณะที่กลุ่มสินค้าอุปกรณ์ชิ้นส่วนตกแต่งรถยนต์และกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์พลาสติกจะเริ่มเห็นการเติบโตที่โดดเด่นตั้งแต่ปี 16F ที่ +25%/+15% ตามการส่งมอบค่ำสั่งซื้อให้กับลูกค้าใหม่รายใหญ่ระดับโลกในกลุ่มรถกระบะและร้านกาแฟเต็มปี
พร้อมคาดว่ากำไรสุทธิปี 15F เพิ่มขึ้นเป็น 769 ล้านบาท (+22%) ตามแรงหนุน i) ยอดขายที่จะกลับมาเพิ่มขึ้น +7% โดยเฉพาะจากกลุ่มฉนวนยาง ท่ามกลางความสามารถในการคุม SG&A/sale ที่ดีขึ้นต่อเนื่อง และภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงหลังระดมทุน ในขณะที่ปี 16F โดยคาด NP จะเร่งตัวขึ้นกว่า +73% ตามการเติบโตของรายได้ที่เร่งตัวทุกผลิตภัณฑ์ขึ้น +20% และ GPM ที่จะพุ่งขึ้นเป็น 27.2% (+139bps) ตาม Utilization rate ที่สูงขึ้นและ Mix ของสินค้ามาร์จิ้นสูงมากขึ้น
แม้ EPG มีนโยบายกำหนดราคาขายที่อิงตามหลัก cost plus margin และมีความโดดเด่นด้านคุณภาพสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ด้วยปริมาณวัตถุดิบที่คิดเป็น 30-45% ของต้นทุนการดำเนินงาน ก็ทำให้ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ อาจมีผลต่อ Marginในระยะสั้น ขณะที่เพื่อความไม่แน่นอนที่สิทธิบัตรจะหมดอายุคุ้มครอง EPG จึงได้ว่าจ้างที่ปรึกษาทางกฎหมายเพื่อดูแลและต่ออายุสิทธิบัตรเช่นกัน