สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA)สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย ( 26 ธ.ค. 57) มีมูลค่าการซื้อขายรวม 35,022 ล้านบาท โดยประเภทของตราสารที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุด คือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 26,391 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 75.4% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ ลำดับถัดมาคือ พันธบัตรรัฐบาล มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 2,782 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 7.9% ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน มีมูลค่าการซื้อขายเท่ากับ 607 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.7% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด
สำหรับ พันธบัตรรัฐบาล รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุดในวันนี้คือ พันธบัตรรุ่น LB21DA, LB236A และ LB191A (รุ่นอายุ 7.0 ปี, 8.5 ปี และ 4.1 ปี ตามลำดับ) โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 1,670 ล้านบาท หรือคิดเป็น 60% ของมูลค่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมด ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน รุ่นที่นิยมซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. หุ้นกู้มีประกันของบริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง(ประเทศไทย) จำกัด (TLT155A) มูลค่า 221.4 ล้านบาท
2. หุ้นกู้มีประกันของบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (MBTH153A) มูลค่า 94.0 ล้านบาท
3. หุ้นกู้ของบริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด (MPSC156A) มูลค่า 90.6 ล้านบาท
โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 405.9 ล้านบาท หรือคิดเป็น 66.8% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นกู้เอกชนทั้งหมดในวันนี้
ทางด้านประเภทของนักลงทุน ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงที่สุดเป็น 2 อันดับแรกในวันนี้ คือ
1. กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 6,687 ล้านบาท
2. กลุ่มสถาบันการเงินที่ไม่มีใบอนุญาตเพื่อค้าตราสารหนี้ มียอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 1,867 ล้านบาท
ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ มียอดขายสุทธิ เท่ากับ -4 ล้านบาท
ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 3 เดือน ปิดที่ 2.05% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน และผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ปิดที่ 2.53% ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเมื่อวาน
Yield Curve ไม่ค่อยเคลื่อนไหวในทุกช่วงอายุตราสาร ปริมาณการซื้อขายค่อนข้างเบาบาง ล่าสุด ธปท. ปรับลดคาดการณ์ GDP ของไทยในปี 57 ลงมาอยู่ที่ 0.8% จากเดิมคาดว่าจะเติบโตที่ 1.5% และปี 58 ปรับลดลงมาที่ 4.0% จากเดิมคาดไว้ที่ 4.8% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ สำหรับนักลงทุนต่างชาติ วันนี้มียอดขายสุทธิ (NET SELL) เท่ากับ 4 ล้านบาท ทั้งนี้ยอด Holding ของนักลงทุนต่างชาติ ณ สิ้นสัปดาห์นี้ ลดลง 168 ล้านบาท จาก 681,970 ล้านบาทในสัปดาห์ก่อน เป็น 681,802 ล้านบาท