ดังนั้น จึงมองกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 58 ในกรอบบนสำหรับ Positive case กรณี GDP โต 4.5% P/E 20 เท่า จะได้ดัชนี SET ที่ระดับ 1,790 จุด ส่วนในมุมมองแบบ Negative case กรณีที่ GDP โต 3.5% ระดับ P/E 15.5 เท่า จะได้กรอบ SET ที่ 1,375 จุดเป็นกรอบล่าง
ปัจจัยบวกที่มีผลต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย และความเชื่อมั่นของนักลงทุนในปี 58 มาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ จะเป็นตัวหนุนการเติบโตของผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน ประกอบกับปี 58 จะเป็นการเริ่มเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) อย่างเต็มรูปแบบ ถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดทุนไทยมากขึ้น อีกทั้งปัจจัยบวกจากต่างประเทศก็สำคัญ โดยเฉพาะการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE) ของประเทศขนาดใหญ่ เช่น จีน ญี่ปุ่น ยูโรโซนจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโลกให้ฟื้นตัว บวกกับต้นทุนน้ำมันลดลง และอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ระดับต่ำหนุนต่อภาพรวมการลงทุนทั่วโลก
สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันหากพิจารณาจากระดับ P/E ที่ 18 เท่า ถือว่าค่อนข้างแพง อาจมีผลให้นักลงทุนอาจจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และหันไปลงทุนในตลาดที่มีระดับ P/E ที่ต่ำกว่า โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศได้แก่ กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายในปี 58 มีแนวโน้มผันผวนสูงกว่าปี 57 จากค่าเงินของหลายสกุลที่อ่อนค่า อาทิ เงินเยนของญี่ปุ่น เงินรูเบิลของรัสเซีย
นอกจากนี้ มีแนวโน้มความเป็นไปได้มากขึ้นที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 58 หลังจากเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (เอฟโอเอ็มซี) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ประกาศยุติโครงการซื้อสินทรัพย์ หรือมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ดำเนินการมาเป็นเวลา 6 ปี เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิออกมาตั้งแต่ปีก่อน
แต่อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติจะเริ่มกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น และคาดว่าเม็ดเงินต่างชาติจะไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยในปี 58 เนื่องจากปัจจัยหนุนจากภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดี รวมถึงสถานการณ์การเมืองที่มีเสถียรภาพ
กลยุทธ์การลงทุนในปี 58 นั้น ทาง บล.โกลเบล็ก แนะให้หาจังหวะทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดี ช่วงที่ราคาอ่อนตัว โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากโครงการภาครัฐ เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ได้รับอานิสงส์จากโครงการภาครัฐที่จะเร่งตัวขึ้นในปีหน้า, กลุ่มธนาคาร ซึ่งคาดว่าการปล่อยสินเชื่อมีแนวโน้มขยายตัวโดดเด่นตามภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว และกลุ่มสื่อสาร ได้รับอานิสงส์จาก Digital Economy และการประมูล 4G ที่คาดว่าจะเกิดเร็วขึ้นกว่ากำหนดการเดิม
ส่วนหุ้นที่แนะนำหลีกเลี่ยง คือ กลุ่มโรงกลั่นที่คาดว่าจะมี Stock loss ต่อเนื่องในผลประกอบการไตรมาส 4/57 จากราคาน้ำมันดิบที่ทรุดตัวลงแรง โดยราคาน้ำมัน ณ ปลายไตรมาส 3/57 อยู่ที่ราว 96 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยบริหารพอร์ตการลงทุนในหุ้น 60% ทองคำ 20% และ TFEX 20%