นอกจากนั้น การที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงมาก และการปรับโครงสร้างราคาพลังงานในประเทศ ทำให้บริษัทได้รับอานิสงส์พอสมควร โดยทำให้ประหยัดต้นทุนค่าขนส่งและต้นทุนค่าเชื้อเพลิง ประกอบกับราคาขายเฉลี่ยที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยน่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงไตรมาส 1/58 นี้ที่กำไรของบริษัทจะเติบโตเพิ่มขึ้น
"ปีนี้มองว่าน่าจะดีกว่าปีก่อน จากที่เรามีการออกกระเบื้อง High-end มากขึ้น ซึ่งมีความต้องการสูงและมาร์จิ้นดี บริษัทตั้งเป้ายอดขายเติบโตราว 10% จากปีก่อน ขณะที่กำไรก็น่าจะเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักหรือประมาณ 10% ก็น่าจะเป็นไปได้ ตามทิศทางเดียวกันกับยอดขาย ขณะเดียวกันมองสภาวะทางเศรษฐกิจในปีนี้มีแนวโน้มดีขึ้น ราคาน้ำมันที่ถูกลง ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายลดลง"นายรุ่งโรจน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม บริษัทยอมรับว่าสิ่งที่ยังเป็นกังวลก็น่าจะเป็นทิศทางราคาพืชผลทางการเกษตรที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของลูกค้าในตลาดต่างจังหวัด
แต่ในปีนี้บริษัทมองว่าการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในต่างประเทศมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าปีก่อนอย่างมาก เนื่องจากบริษัทมีข้อได้เปรียบทางด้านการแข่งขัน โดยเฉพาะจากราคาน้ำมันที่ถูกลง จึงคาดหวังว่าสัดส่วนยอดขายต่างประเทศเติบโตขึ้นเป็นไม่เกิน 5% ของยอดขายรวม จากปี 57 มีสัดส่วนอยู่ที่ 2% ปัจจุบันบริษัทส่งสินค้าไปยังฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และพม่า ซึ่งจะมีการขยายตลาดเพิ่มอีก มองไปที่กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง
นายรุ่งโรจน์ เปิดเผยว่า บริษัทตั้งงบลงทุนในปีนี้หลักร้อยล้านบาทเพื่อใช้ปรับปรุงสาขาจำนวน 20-30 แห่ง และใช้ซื้อที่ดินเพื่อรองรับการสร้างสาขาใหม่ แต่ยังไม่มีแผนขยายกำลังการผลิต