ทั้งนี้ จากการพิจารณารายกลุ่มพบว่า โดยภาพรวมดัชนีมีการปรับตัวลดลงเกือบทุกกลุ่มประเภทนักลงทุน โดยนักลงทุนสถาบันในประเทศและนักลงทุนสถาบันต่างประเทศมองว่าตลาดหทุนไทยมีแนวโน้มซบเซา ส่วนกลุ่มนักลงทุนรายย่อยและกลุ่มบัญชีหลักทรัพย์คาดว่าในอีก 3 เดือนข้างหน้าตลาดทุนไทยมีแนวโน้มทรงตัว ซึ่งกลุ่มบัญชีหลักทรัพย์เชื่อมั่นทิศทางตลาดทุนไทยเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา
สำหรับหมวดอุตสาหกรรมที่นักลงทุนเห็นว่าน่าลงทุนมากที่สุด คือ หมวดอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ในขณะที่หมวดทรัพยากรเป็นหมวดธุรกิจที่ไม่น่าลงทุนที่สุด
ด้านปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเชื่อมั่นส่วนใหญ่มองว่าเป็นสถานการณ์ต่างประเทศเป็นปัจจัยหลัก รองลงมาคือเศรษฐกิจในประเทศ และนโยบายด้านเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยภายนอกที่นักลงทุนมองว่ายังคงส่งผลต่อทิศทางตลาด เช่น ราคาน้ำมันดิบโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง นโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม จากทางธนาคารยุโรป(ECB) และการเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ (QE ของญี่ปุ่น) รวมไปถึงภาระหนี้สินภาคครัวเรือนสภาพคล่องภายในประเทศ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริหารงานของรัฐบาลชุดใหม่
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย มองว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย(SET Index)ในช่วงครึ่งแรกของปี 58 น่าจะอยู่ที่ 1,420-1,460 จุด บนค่า P/E ที่ 13-15 เท่า และคาดการณ์ภาพรวมกำไรบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ไว้ที่ 109 บาท/หุ้น โดยตลาดฯยังคงมีความผันอยู่ในช่วง 3 เดือนแรก กระแสเงินทุนจากต่างชาติจะลดลง เห็นได้จากสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของต่างชาติขณะนี้ลงมาที่ 34% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม(มาณ์เก็ตแคป) คาดว่าเงินส่วนใหญ่จะไหลกับไปยังประเทศสหรัฐฯ ส่วนการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นมาจากแรงซื้อ-ขายภายในประเทศเป็นหลัก
ส่วนในช่วงครึ่งปีหลังตลาดหุ้นไทยจะเป็นช่วงขาขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยประเมิน SET Index จะอยู่ที่ 1,480-1,710 จุด บนค่า P/E 13-15 เท่า จากคาดการณ์กำไร บจ. 114 บาท/หุ้น
แนะนำกลยุทธ์การลงทุนครึ่งปีแรก คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และหุ้นที่ได้รับผลประโยชน์จากการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมัน ส่วนครึ่งปีหลังเน้นหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี เนื่องจากมองว่าราคาน้ำมันจะมีการฟื้นตัวขึ้นมาได้
ขณะที่นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้อำนวยการอาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย(TMB) กล่าวถึงภาพรวมตลาดเงินไทยปี 58 ว่าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ TMB คาดการณ์ค่าเงินบาทในปีนี้ที่ 33.5-34 บาท/ดอลลาร์ โดยมองว่ามีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากปีก่อน และอาจผันผวนค่อนข้างมากในช่วงที่นักลงทุนกังวลความไม่แน่นอนของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด
การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 3.5% ประเมินการส่งออกจะขยายตัวได้ราว 3% เป็นผลดีจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลง อย่างไรก็ตาม การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 58 ของภาครัฐยังมีความล่าช้า ส่งผลต่อแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่อาจทำให้การเติบโตเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงการที่ประเทศไทยอยู่ระหว่างการปฎิรูปประเทศ
"ส่งออกยังคงขยายตัวมีการรุกไปยังตลาดอาเซียนเพิ่มขึ้น ประกอบกับการค้าชายแดนที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตไปได้ ขณะที่ในเรื่องของราคาน้ำมันที่ลดลง จะช่วยในเรื่องของต้นทุน มองภาพเศรษฐกิจครึ่งปีแรกยังไม่ค่อยดีนัก แต่ครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้น คาดการณ์ขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้จะขยายตัวได้ 3.5%"นายเบญจรงค์ กล่าว
ทั้งนี้ นายเบญจรงค์ เชื่อว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2% ตลอดทั้งปี 58 ก่อนจะขยับขึ้นในปีหน้า ตามทิศทางนโยบายของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ